“มารดาประชารัฐ”นโยบาย “แจก” เพื่อดอกผลของ “อนาคต”

“มารดาประชารัฐ”นโยบาย “แจก” เพื่อดอกผลของ “อนาคต”


แต่สำหรับประเทศไทยเอง ที่กำลังเดินเท้าเข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัย” อย่างสมบูรณ์แบบในอนาคตอันไม่ช้า แน่นอนว่ามันจะมาพร้อมกับปัญหาที่ใหญ่หลวงนัก เพราะนั่นหมายถึงเรากำลังจะขาด “คน” เพื่อมาเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ และคงเหลือไว้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่

 

สิ่งที่สะท้อนถึงปัญหานี้เห็นได้จากหลายพรรคการเมือง เริ่ม “กระตุ้น” ให้คนไทยต้องหันมาเห็นปัญหานี้ร่วมกันมากขึ้น ด้วยการ “ผลิตเด็ก” ออกมาเพื่อเป็นกำลังพัฒนาชาติ

การกระตุ้นที่ว่าถูกนำมาใช้หาเสียงกันอย่างหลากหลาย แม้หลายพรรคจะชูว่ามีลูกมีหลานจะได้รับการช่วยเหลือและได้รับชุดสิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างล่าสุดกับการเคลื่อนไหวของ “พลังประชารัฐ” ที่ชูนโยบาย “มารดาประชารัฐ”-อนาคตเด็กไทย จากแม่สู่ลูก ซึ่ง “อุตตม สาวนายน” หักหอกของพรรคก็พร้อมจะใช้นโยบายนี้เพื่อดึงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง

แน่นอนว่าการจะได้คะแนนหรือไม่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน แต่เมื่อมองให้ลึกถึงนโยบายมารดาประชารัฐ ก็นับว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะจะเป็นการ “กระตุ้น” ให้ก่อเกิดจำนวนของเด็กสำหรับประเทศให้มากยิ่งขึ้น และจะดูแลตั้งแต่ครรภ์แม่ ไปจนถึงเด็กน้อยอายุ 6 ขวบ

“เพราะหากช่วงนี้ คือ 0-6 ขวบ เราดูแลเขาดี เขาจะเติบโตและมีพัฒนาการที่ดีตามมา” นั่นคือคำของ อุตตม ที่อาจให้นิยามถึงความหมายในการดูแลแม่ ที่จะ”คลอดอนาคตของชาติ” เพื่อมาช่วยต่อยอดการพัฒนาประเทศ ผ่านนโยบายจากพรรคของเจ้าตัว

 

มารดาประชารัฐ ของพลังประชารัฐ ที่ชูออกมา หากสังคายนาออกมาจะทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น โดยนโยบายนี้จะเป็นการดูแล “แม่” ตั้งแต่ตั้งท้องฝากครรภ์ โดยการจ่ายเงินให้เดือนละ 3,000 บาทเป็นเวลา 9 เดือน หรือเป็นเงินต่อ 1 ท้องที่คุณแม่จะได้รับก่อนคลอดที่ 27,000 บาท เมื่อคลอดมาแล้ว ก็จะมี “ค่าเลี้ยงดู” ให้อีกเดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่วินาทีแรกที่ “อนาคตของชาติ” ลืมตามาดูโลก ไปจนถึงอายุ 6 ขวบ ซึ่งจะเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 144,000 บาท และหากย้อนกลับไปตั้งแต่ตั้งครรภ์ในเดือนแรกแล้ว เด็ก 1 คนจะมีค่าดูแลจากพรรคนี้หากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งที่ 181,000 บาท

 

“นอกจากเงินช่วยเหลือในการตั้งครรภ์ การคลอด และการเลี้ยงดูเด็กแล้ว นโยบายมารดาประชารัฐของพรรคพลังประชารัฐ ยังคำนึงถึงการดูแลในมิติอื่นๆ อย่างครบวงจร ซึ่งถือเป็นการลงทุนในเด็ก ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ และทำให้เด็กไทยเป็นอนาคตและเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไปครับ” วลีที่ยืนยันโดย อุตตม สาวนายน

กระนั้น เมื่อมองย้อนหลัง จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำให้เห็นภาพ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเฉลี่ยคนไทยเกิดขึ้นมาอยู่ที่ปีละไม่ต่ำกว่า 7 แสนคน และจะมีเพียงแค่ปี 2561 ที่เด็กไทยโผล่มาดูโลกที่ 6.9 แสนคน นั่นย่อมพออนุมานได้ว่าค่าเฉลี่ยเด็กไทยจะเกิดขึ้นคงไม่หนีตัวเลขนี้มากนัก

และหากนำตัวเลขตั้งเอาไว้ที่ 7 แสนคนในปีนี้หรือแม้แต่ปี 2563 เองก็ตามสำหรับเด็กที่กำลังจะเกิดใหม่ คูณเข้าไปกับงบประมาณรายหัวที่ให้กับเด็กที่หัวละ 181,000 บาท ในอีก 6 ปีข้างหน้า รัฐบาลภายใต้การนำของพลังประชารัฐ (ที่หากชนะเลือกตั้ง) จะต้องใช้เงินกับนโยบายนี้ไปถึง 126,700 ล้านบาท

 

แต่คำถามที่สังคมเลี่ยงไม่ได้คือ เงินจะมาจากไหน?

พลังประชารัฐ เคลมว่า จะมีวิธีที่จะใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้ และลดภาระงบประมาณ เพื่อมาลงทุนกับสมบัติของชาติ นั่นก็คือเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดขึ้นลืมตามาดูโลก และหากให้คาดคะเน เมื่อมองไปยังรายชื่อของทีมทำงานของพรรคพลังประชารัฐ ที่หลายคนก็เชี่ยวและชาญในเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจ ช่องทางผลิตเม็ดเงินผ่านกองทุนต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย เพื่อนำเงินในส่วนที่ต้องการมาต่อยอดนโยบายที่ได้หาเสียงกับประชาชน

แม้ดูแล้วจะเป็นงบประมาณที่ “มหาศาล” หากแต่ว่ามันลงทุนไปกับ “สมบัติของชาติ” ที่จะออกดอกออกผลในอนาคตมันก็น่าลอง และยังน่าสนใจว่านโยบายนี้จะได้ไปต่อ หรือหยุดไว้แค่เท่านี้ ซึ่งคำตอบก็น่าจะอยู่หลังวันที่ 24 มีนาคม ที่จะเป็นวันชี้ชะตา ว่าเด็กไทยจะได้เงินก้อนนี้เพื่อเลี้ยงดูตัวเองหรือไม่