ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตไทยคึกคัก ปี 65 เพียง 8 เดือนยอดพุ่ง 13 เท่าแซงยอดปี 64 ทั้งปี AIT สบช่อง 3 ธุรกิจบริการคาร์บอนครบวงจร ผ่าน 5 กลยุทธ์ขับเคลื่อนความยั่งยืน เตรียมประมูลงานรัฐ-เอกชน ขยายเข้าสู่ธุรกิจคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ครบวงจร จัดทำรายงานคาร์บอนฟุตพรินท์อัตโนมัติ พร้อมที่ปรึกษาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ตลาดซื้อขายคาร์บอนไทย โตแบบก้าวกระโดด ศูนย์ข้อมูลกสิกรไทย เผยตัวเลข การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจมาตรฐานของประเทศไทย ในปี 2564 ทั้งปีมีมูลค่า 9,396,000 ล้าน แต่ปี 2565 นับเพียง 8 เดือนแรกมีมูลค่าพุ่งถึง 124,762,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 13 เท่าตัว
AIT เปิดลู่สู่ธุรกิจใหม่ ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ช่วยสนับสนุนการบรรลุสู่เป้าหมาย Net Zero เติบโตต่อเนื่องทำให้ บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ขยายฐานธุรกิจจากใช้พื้นฐานการเติบโตจากโครงสร้างธุรกิจระบบวางสารสนเทศและการสื่อสารครบวงจรมาเปิดทางเข้าสู่ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และธุรกิจการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่น มองเห็นทิศทางการเติบโตสูง ในตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต และธุรกิจการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงตัดสินใจทุ่มทุนขยายธุรกิจไปสู่การรองรับการ บริการซื้อขายคาร์บอน เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น ใน 3 ด้าน คือ
1. การขยายเข้าสู่ธุรกิจคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้อย่างครบวงจร ให้บริการครบวงจรในการปลูกป่า ตั้งแต่การออกแบบ การเตรียมพื้นที่ปลูก การดูแลต้นไม้ การบำรุงรักษาโครงการ การขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต และจะเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน ซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ การจัดซื้อจัดหาไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้สักคุณภาพสูง อีกทั้งวางแผนผลิตและขายกล้าต้นสักทอง ด้วยเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue Culture) ด้วย
“ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ปลูกต้นกล้าสักไปแล้วกว่า 135,200 ต้น บนเนื้อที่ 338 ไร่ และคาดว่าจะปลูกเพิ่มอีก 240,000 ต้นบนเนื้อที่ 600 ไร่ ที่อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับมองหาโอกาสใหม่ๆ ในหลายรูปแบบ เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ”
2. ธุรกิจให้บริการระบบจัดทำรายงานคาร์บอนฟุตพรินท์ (Carbon Footprint) แบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี IoT และ AI
3. ธุรกิจให้บริการด้านคำปรึกษา การพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในเร็ว ๆ นี้
นายศิริพงษ์ ย้ำว่า พร้อมนำบริษัทขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่านแนวทางการดำเนินธุรกิจใน 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.) ขยายฐานลูกค้าสร้างการเติบโตของรายได้ 2.) สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าหรือพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทฯ 3.) พัฒนาบุคคลากรเพื่อรองรับการทำงานที่ท้าทาย 4.) พัฒนาระบบภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และ 5.) ขยายธุรกิจที่สร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ตั้งเป้าปี 2567 มีรายได้รวม 6,800 ล้านบาท
AIT ตั้งเป้าผลการดำเนินงานปี 2567 มีรายได้รวม 6,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีรายได้ 6,520 ล้านบาท โดยมีมูลค่างานอยู่ในมือ (Backlog) ณ วันที่ 1 มีนาคม 2567 จำนวน 6,200 ล้านบาท ในส่วนของจำนวนเงินที่คาดว่าจะรับรู้รายได้ปีนี้ คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ แบ่งเป็น งานภาครัฐ (Government) จำนวน 1,450 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 23% งานรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise) 1,100 ล้านบาท หรือ 18% งานสถาบันการเงิน (Financial Service Industry) 1,100 ล้านบาท หรือ 18% งานผู้ให้บริการโทรคมนาคม (Service Provider) 1,750 ล้านบาท หรือ 28% และ งานเอกชน (Enterprise) จำนวน 800 ล้านบาท หรือ 13%
เน้นประมูลงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ เตรียมเข้าร่วมประมูลงานใหม่ มูลค่างานไม่ต่ำกว่า 9,000 ล้านบาท เน้นงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนอย่างต่อเนื่อง ในธุรกิจที่ AIT มีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ Cloud Platform, Big Data Analytics, SDN, Cyber Security, และ IOT รวมถึงธุรกิจขายระบบโครงสร้างพื้นฐาน ICT ต่างๆ