ครม.อนุมัติตามข้อเสนอของทีเส็บร่วมกับ 2 กระทรวงหลัก และ 3 เมืองไมซ์ ให้ประเทศไทยเสนอตัวเข้าแข่งขันชิงสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โป และงานมหกรรมพืชสวนโลก เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุน หวังสร้างเม็ดเงินสะพัดกว่าแสนล้านบาท
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญใหญ่ระดับโลก 3 งาน คือ งานเอ็กซ์โป 2028-ภูเก็ต และงานมหกรรมพืชสวนโลกประเภท B ในปี พ.ศ. 2569 และประเภท A1 ปี พ.ศ. 2572
โดยจะเป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่างทีเส็บ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยเมืองไมซ์อีก 3 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต อุดรธานี และนครราชสีมา ภายใต้การสนับสนุนจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงหอการค้าและสภาอุตสาหกรรม
สำหรับทั้ง 3 งานใหญ่มีความสำคัญและมีความหมายต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะมีผลทั้งในด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจ การสนับสนุนให้เกิดการลงทุน การสร้างงาน สร้างรายได้กระจายสู่ภูมิภาค อีกทั้งยังส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในอนาคตโดยเฉพาะด้านการเกษตรและสาธารณสุข
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจใหม่จากการพัฒนาพื้นที่หลังการจัดงาน ขณะเดียวกันยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และชื่อเสียงของเมืองเจ้าภาพ และประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการจัดงานที่มีศักยภาพอันโดดเด่นในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย”
โดยการจัด 3 งานใหญ่ระดับโลกนี้ คาดว่าจะส่งผลทางเศรษฐกิจโดยรวมก่อให้เกิดเงินสะพัดกว่า 100,173 ล้านบาท สร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมูลค่า (GDP) 68,520 ล้านบาท สร้างรายได้จากการจัดเก็บภาษีภาครัฐ 20,641 ล้านบาท และส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน 230,442 ตำแหน่ง
สำหรับงานเอ็กซ์โป 2028-ภูเก็ต ประเทศไทย (EXPO 2028 – Phuket, Thailand) ที่กระทรวงสาธารณสุขและจังหวัดภูเก็ตร่วมกันเป็นหน่วยงานหลักในการจัดงาน เป็นงานมหกรรมระดับโลกภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Bureau International des Expositions (BIE)

มีแนวคิดหลัก Future of Life-Living in harmony, sharing prosperity บนพื้นที่ 141 ไร่ บริเวณต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ตามโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวสุขภาพระดับโลก โดยโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ระยะเวลาจัดงาน 3 เดือน ระหว่างวันที่ 20 มี.ค. – 17 มิ.ย.71
คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงาน 4.9 ล้านคน แบ่งเป็นคนไทย 54% ชาวต่างชาติ 46% จาก 106 ประเทศทั่วโลก ก่อให้เกิดเงินสะพัดระหว่างการจัดงาน 49,231 ล้านบาท สร้างการจ้างงาน 113,439 อัตรา เพิ่มมูลค่าการสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมกว่า (GDP) 39,357 ล้านบาท เกิดรายได้จากการจัดเก็บภาษี 9,512 ล้านบาท

ขณะที่งานมหกรรมพืชสวนโลกประเภท B ปี พ.ศ. 2569 จ.อุดรธานี และประเภท A1 ปี พ.ศ. 2572 จ.นครราชสีมา โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานร่วมกับทั้ง 2 จังหวัด เป็นงานจัดแสดงด้านพืชสวนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ภายใต้สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (The International Association of Horticultural Producers – AIHP) โดยมีภาคีสมาชิก 65 ประเทศหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพจัดงานอย่างต่อเนื่อง
งานมหกรรมพืชสวนโลกอุดรธานี พ.ศ. 2569 (Udon Thani International Horticultural Expo 2026) จะจัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก Diversity of Life: People, Water and Plants วิถีชีวิต สายน้ำ และพืชพรรณ บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ต.กุดสระ อำเมือง จังหวัดอุดรธานี บนเนื้อที่ 1,030 ไร่ แบ่งเป็นพื้นน้ำ 400 ไร่ และพื้นดิน 630 ไร่ กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 1 พ.ย.69 – 14 มี.ค.70
คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงาน 3.6 ล้านคน แบ่งเป็นชาวไทย 70% ชาวต่างชาติ 30% มีองค์กร สมาคมต่าง ๆ เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 20 ประเทศ เพิ่มเงินสะพัดระหว่างการจัดงาน 32,000 ล้านบาท สร้างการจ้างงาน 81,000 อัตรา เพิ่มมูลค่าการสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมกว่า (GDP) 20,000 ล้านบาท และเกิดรายได้จากการจัดเก็บภาษี 7,700 ล้านบาท

ในส่วนของงานมหกรรมพืชสวนโลกนครราชสีมา พ.ศ.2572 (Nakhon Ratchasima International Horticultural Expo 2029) ตามแนวคิดหลัก Nature & Greenery: Envisioning the Green Future ธรรมชาติและพรรณพืชเขียวขจีอนาคตแห่งโลกสีเขียว บนพื้นที่สาธารณประโยชน์โคกหนองรังกา ต.เทพาลัย อ.คง จ.นครราชสีมา เนื้อที่ 678 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่จัดแสดง 523 ไร่ และพื้นที่จอดรถ 155 ไร่ กำหนดจัดงาน 10 พ.ย.72 – 28 ก.พ.73
คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงาน 2.6-4 ล้านคน แบ่งเป็นชาวไทย 85% ชาวต่างชาติ 15% มีประเทศที่เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 30 ประเทศ จะเพิ่มเงินสะพัดระหว่างการจัดงาน 18,942.64 ล้านบาท สร้างการจ้างงาน 36,003 อัตรา เพิ่มมูลค่าการสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมกว่า (GDP) 9,163 ล้านบาท และเกิดรายได้จากการจัดเก็บภาษี 3,429 ล้านบาท
เมืองไมซ์ทั้ง 3 แห่ง ที่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานสำคัญระดับโลกทั้ง 3 งานนี้ มีศักยภาพความพร้อมของเมืองที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน ทั้งด้านสถานที่ การเดินทาง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางเชิงสุขภาพระดับโลก รวมถึงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่หลังการจัดงานให้เป็นศูนย์กลางด้านการค้าและการลงทุนในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) และการสร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อพัฒนาสู่การเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
