“สมชาย แสวงการ” ระบุ อีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า วัดอนาคตประเทศ ชี้ คนไทยชอบรวมกลุ่มกินเหล้า รดน้ำดำหัวและเล่นสงกรานต์ เตือน “น้ำ” คือตัวกระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 จากสารคัดหลั่งได้ดีที่สุด
วันที่ 1 เม.ย.63 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “สมชาย แสวงการ” ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระบุว่า จากตัวเลขของผู้ติดเชื้อในประเทศไทยวันนี้อยู่ในกลุ่มประเทศอยู่ตรงกลางของกลุ่มประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้ และกลุ่มที่ควบคุมไม่ได้จากทั่วโลก โดยอยู่อันดับ 2 ในกลุ่ม 10 ประเทศอาเซียน
กล่าวโดยสรุป คือ ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละหลักร้อย ตายวันละหลักหน่วย ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดให้สถิตินิ่งมีทิศทางติดเชื้อน้อยลงแบบญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เพราะคนไทยส่วนหนึ่งให้ความร่วมมือ social distancing หยุดอยู่บ้าน 40% แต่ยังมีอีก 60% มีพฤติกรรมเคลื่อนที่สุ่มเสี่ยงเหมือนเดิม
ซึ่งเรื่องนี้ทางการแพทย์ระบุชัด ว่าถ้าจะให้ได้ผลจริงต้องให้คนหยุดอยู่บ้าน 90% เหลือไว้แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้
นายสมชายกล่าวอีกว่า 1 สัปดาห์ข้างหน้าคือการชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย การระบาดอาจเพิ่มทวีคูณขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ อาจเกิด super spreader แบบเดียวจากผับและสนามมวยได้ง่าย เพราะคนไทยชอบรวมกลุ่มกินเหล้า รดน้ำดำหัวและเล่นน้ำสงกรานต์ โดย “น้ำ” คือตัวกระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 จากสารคัดหลั่งได้ดีที่สุด
สมชิกวุฒิสภากล่าวอีกว่า ศบค.หรือ ศอฉ.โควิด-19 ควรเพิ่มมาตรการเข้มงวดที่รวดเร็วและจริงจังขึ้นอีก โดยขอเสนอเพื่อพิจารณาและมีคำสั่ง ดังนี้
1.ลดครึ่งเวลาการเปิดขายของร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์สโตร์และตลาดสดทั่วประเทศ
1.1 เพิ่มมาตรการบังคับให้ทุกร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์สโตร์ ใช้เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิลูกค้าก่อนเข้าซื้อสินค้าและต้องมีบริการแอลกอฮอล์เจลในทุกร้านค้า หากฝ่าฝืนให้ปิดร้านค้านั้น 15-30 วัน
1.2 ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และของมึนเมาทุกชนิดตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์
2.ลดครึ่ง การให้บริการขนส่งสาธารณะ รถ ขสมก. รถร่วม รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟใต้ดิน เรือขนส่งมวลชน ฯลฯ เว้นแต่ในเฉพาะช่วงเช้าและเย็น
3.ลดครึ่งการให้บริการรถ บขส. รถตู้ และรถไฟ ที่เดินทางเดินทางข้ามจังหวัด ทั้งจาก กทม. ปริมณฑล และทั่วประเทศ
3.1 ควรสั่งยุติการเดินรถสาธารณะและรถเอกชน ขนคนข้ามจังหวัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์
4.ลดครึ่งเวลาทำการของหน่วยบริการประชาชนของหน่วยราชการ กทม. และทุกจังหวัดทั่วประเทศ
5.ลดครึ่ง จำนวนคนทำงานของข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน
5.1 ให้ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องการดูแลสู้ภัยโควิด-19 ทำงานที่บ้านผ่านระบบออนไลน์
5.2 ควรเพิ่มการใช้ระบบออนไลน์ในการรับแจ้งเรื่องราว การขออนุญาต การขอจดทะเบียนต่างๆ ต่อหน่วยงานราชการ
นอกจากนี้ นายสมชายยังย้ำอีกว่า เรื่องนี้ควรแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบล่วงหน้าสัก 1-2 วัน ประชาชนจะได้เตรียมตัวและไม่ตระหนก โดย ศบค. และ สธ. ควรต้องมีหน่วยวิเคราะห์ประเมินผลให้ทราบทุกวัน ถ้ามาตรการเหล่านี้ใช้เข้มงวดแล้วไม่ได้ผล ไม่ได้รับความร่วมมือภายใน 1 สัปดาห์ ต้องขอเสนอให้ ศบค.เร่งใช้มาตรการเข้มสุดในสัปดาห์ถัดไปคือการล็อกดาวน์ ปิด กทม. และทุกจังหวัดพร้อมกันทั่วประเทศ 15 วัน
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
