ประธาน COP30 André Corrêa do Lago ได้เผยแพร่ จดหมายฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ระหว่างการเจรจาก่อนประชุม COP30 ที่เมืองบอนน์ โดยเปิดวิสัยทัศน์ใหม่เพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์จาก Global Stocktake (GST) — ขั้นตอนประเมินความคืบหน้าจากข้อตกลงปารีส
1. วาระการดำเนินการ 6 แกนหลัก
ประธาน COP30 วางกรอบเรียกว่า “granary of solutions” หรือ “คลังโซลูชัน” ครอบคลุม 6 แกนสำคัญ เพื่อเปลี่ยน GST ให้เป็นการปฏิบัติจริงในระดับภาคสนาม:
- พลังงาน อุตสาหกรรม และการขนส่ง – เพิ่มขีดความสามารถของพลังงานหมุนเวียนให้เป็น 3 เท่า, เพิ่มประสิทธิภาพพลังงานเป็น 2 เท่า และลดการใช้ฟอสซิลอย่างเป็นระบบ
- ป่าไม้ มหาสมุทร และความหลากหลายทางชีวภาพ – หยุดและพลิกฟื้นการตัดไม้ทำลายป่า, ฟื้นฟูระบบนิเวศบก–น้ำ
- เกษตรกรรม & ระบบอาหาร – ฟื้นฟูดิน, ผลักดันระบบอาหารที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน, และสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงอาหาร
- เมือง โครงสร้างพื้นฐาน และน้ำ – ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมการจัดการน้ำ
- พัฒนามนุษย์ & สังคม – สร้างระบบสุขภาพที่มี resilience, ลดความยากจน/หิวโหย, เสริมงานเทคโนโลยี และสร้างงาน
- เครื่องมือสนับสนุนข้ามแกน – ครอบคลุมด้านการเงิน นวัตกรรม เทคโนโลยี การเสริมความสามารถ และการบัญชีคาร์บอน
ตามจดหมายมีการกำหนด 30 วัตถุประสงค์หลัก (super-leverage points) ซึ่งถือเป็นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์สำคัญ เช่น การหยุดการตัดไม้, แตะ goal พลังงานหมุนเวียน, และพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
2. “Mutirão” – พลังการเคลื่อนไหวระดับโลก
ปรัชญาหลักของประธาน COP30 คือ Mutirão — คำภาษาโปรตุเกสที่แปลว่า “ความร่วมมือระดมพลัง” เขาพูดถึงการประสานกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และกลุ่มไม่ใช่รัฐ เพื่อผลักดัน GST ให้เป็น “Global NDC” หรือ GDC (“Globally Determined Contribution”)
ทั้งนี้ Climate Champions อย่าง Dan Ioschpe และ Nigar Arpadarai จะร่วมผลักดันให้กลยุทธ์ระดับนโยบายสอดรับกับการปฏิบัติบนพื้น
3. ความร่วมมือระดับโลกและสร้างธรรมาภิบาล
ประธานฯ เรียกร้องให้จัดตั้ง สภาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ในสมัยสภา UNGR เพื่อเร่งการดำเนินงาน เปลี่ยนเจรจาให้กลายเป็นการกระทำที่หน้าชัดขึ้น
นอกจากนี้ยังเน้นความสำคัญของ multilateralism โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศอย่างจีน ที่แสดงบทบาทชัดเจนด้านพลังงานสะอาด
4. เน้น “ปฏิบัติจริง – ไม่ใช่แค่เจรจา”
“ประธานฯ เน้นว่าเราได้ตกลงกันหลายอย่างแล้ว แต่ปัญหาคือยังไม่ได้ปฏิบัติ” และ “COP แบบเจรจาอย่างเดียวมีจำกัด” จึงจำเป็นต้องข้ามจากวิสัยทัศน์สู่ Action Agenda อย่างชัดเจน
André Corrêa do Lago ประธาน COP30 กล่าวว่า
“เป้าหมายของเราคือการนำพลวัตใหม่มาสู่การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลกโดยประสานความพยายามของธุรกิจ ภาคประชาสังคม และหน่วยงานของรัฐทุกระดับในการดำเนินการอย่างสอดประสานกัน การเคลื่อนไหวระดับโลกเพื่อบรรลุ GST ในฐานะ NDC ระดับโลก หรือที่เรียกว่า ‘GDC’ ซึ่งก็คือ ‘การสนับสนุนที่โลกกำหนดขึ้น’ ของโลก”
Dan Ioschpe ผู้นำระดับสูงด้านสภาพอากาศของ COP30 กล่าวเสริมว่า เราเรียกร้องให้มีการ mutirão ซึ่งเป็นความพยายามร่วมกันทั่วโลก วาระการดำเนินการคือแผนงานของเราสำหรับความพยายามดังกล่าว โดยเชื่อมโยงรัฐบาลกับผู้ปฏิบัติและผู้แก้ไขปัญหาที่กำลังดำเนินการ แก้ไขปัญหา ด้านสภาพอากาศในพื้นที่
“ถึงเวลาที่ต้องประสานความเร่งด่วนเข้ากับความสามัคคี และความทะเยอทะยานเข้ากับการลงมือทำ เพื่อเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมที่ยั่งยืน และสร้างสังคมที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น”
ทำไมไทยควรจับตา?
- ขั้ว ASEAN: ไทยสามารถเข้าร่วม Action Agenda ในประเด็นเช่น “เกษตรยั่งยืน” และ “พลังงานหมุนเวียน” เพื่อเชื่อมโยงกับนโยบาย BCG และ Net Zero
- โอกาสทางการลงทุน & เทคโนโลยี: การเน้นด้านนวัตกรรมและการเงินสีเขียวเปิดช่องให้ธุรกิจไทยมีส่วนเชื่อมโยงกับโครงการโลก
- แรงกดดันเชิงนโยบาย: ไทยอาจต้องปรับ NDC, เพิ่มความโปร่งใส, เริ่มติดตามแผนปฏิบัติร่วมตาม Action Agenda
- ความเสี่ยงจากอดีต: หากละเลย อาจถูกมองขาดความรับผิดชอบต่อสภาพภูมิอากาศเมื่อเทียบกับประเทศที่เดินหน้าแล้ว
COP30 ครั้งนี้คือ “จุดเปลี่ยน” จากคำสัญญาเป็นการแก้ปัญหาจริง ด้วย Action Agenda ที่ชัดเจนและวัดผลได้ หากไทยอยากร่วม “Mutirão” ต้องลงมือด้วยเชิงปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงท่าทีเชิงนโยบาย เพื่อสร้างบทบาทและโอกาสในเวทีโลก ทั้งในด้านการพัฒนา การเงิน และความยั่งยืนเชิงระบบต่อไป
