ผึ้งเลี้ยง VS ผึ้งป่า: การทดลองบนเกาะอิตาลีเผยผลกระทบไม่คาดคิด
ทุกฤดูใบไม้ผลิ ตั้งแต่ปี 2018 ผึ้งเลี้ยงได้บินไปหาน้ำหวานจากดอกไม้ป่าบนเกาะ เจียนนูทรี (Giannutri) ซึ่งเป็นเกาะห่างไกลในอิตาลีที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะทัสคานี อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงสี่ปีที่ผ่านมา นักนิเวศวิทยา ลอเรนโซ ปาสควาลี (Lorenzo Pasquali) ต้องทำหน้าที่ที่ไม่ธรรมดา คือการ “ปิดรังผึ้ง” เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของผึ้งป่าบนเกาะ
เมื่อคู่แข่งหายไป: ผึ้งป่าได้เปรียบ
ผึ้งเลี้ยงซึ่งมักใช้ในภาคเกษตรกรรม มีพฤติกรรมการกินน้ำหวานและเกสรคล้ายกับผึ้งป่า นักวิทยาศาสตร์เคยตั้งข้อสงสัยมานานว่าการเลี้ยงผึ้งอาจสร้างการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมต่อผึ้งป่า แต่เนื่องจากความซับซ้อนของธรรมชาติ การทดลองเชิงลึกในพื้นที่จริงจึงแทบไม่เคยเกิดขึ้น จนกระทั่งทีมของปาสควาลี ใช้เกาะเจียนนูทรี เป็นห้องทดลองธรรมชาติขนาดย่อม
ในช่วงเช้าของแต่ละวันปาสควาลี จะปิดรังผึ้งเลี้ยง 18 รังเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ผึ้งไม่สามารถออกมาหาน้ำหวานได้ ขณะเดียวกัน เขาและเพื่อนร่วมงานจะบันทึกพฤติกรรมของผึ้งป่าบนเกาะ ตั้งแต่การเข้าแปลงดิน บินเยี่ยมดอกไม้ ไปจนถึงระยะเวลาการดูดน้ำหวาน
ผลลัพธ์น่าตกใจ: น้ำหวานเพิ่มขึ้น พฤติกรรมเปลี่ยนไป
ผลการทดลองที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Biology ระบุชัดว่า เมื่อไม่มีผึ้งเลี้ยง ปริมาณน้ำหวานในพืชบางชนิดเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% และปริมาณละอองเรณูเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ส่งผลให้ผึ้งป่าสามารถหาอาหารได้นานขึ้นและเปลี่ยนพฤติกรรมการแสวงหาอาหารอย่างชัดเจน
ทีมวิจัยยังพบว่า ผึ้งป่าพื้นเมืองอย่าง แอนโธฟอร่า ดิสพาร์ (Anthophora dispar) และ บอมบัส เทอเรสทริส (Bombus terrestris) ลดลงเกือบ 80% ภายในระยะเวลาการศึกษาสี่ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผึ้งเลี้ยงอาจสร้างผลกระทบในระดับประชากรของผึ้งป่าจริงจังยิ่งกว่าที่คาดไว้
ควรประเมินก่อนนำผึ้งเลี้ยงเข้าพื้นที่คุ้มครอง
อัลเฟรโด วาลิโด (Alfredo Valido) นักกีฏวิทยาจากสเปน ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมกับการวิจัยครั้งนี้ ชื่นชมว่าเป็น “การทดลองที่ชัดเจนและน่าประทับใจ” ที่ช่วยเปิดเผยกลไกการแข่งขันที่มองไม่เห็นระหว่างผึ้งเลี้ยงกับผึ้งป่า
เลโอนาร์โด ดาปปอร์โต (Leonardo Dapporto) ที่ปรึกษาด้านระบบนิเวศของอุทยาน ย้ำว่าทีมงานไม่ได้ต่อต้านการเลี้ยงผึ้ง แต่หากจะนำผึ้งไปเลี้ยงในเขตอนุรักษ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผึ้งป่าสายพันธุ์หายากหรือใกล้สูญพันธุ์ ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง
มนุษย์เป็นตัวแปรสำคัญ
แม้ผึ้งป่าจะเผชิญกับภัยคุกคามหลากหลาย ทั้งจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่การนำผึ้งเลี้ยงเข้าพื้นที่กลับเป็นปัจจัยที่มนุษย์สามารถ “ควบคุมและจัดการได้” มากกว่าปัจจัยอื่น ๆ
หลังจากได้รับรายงานผลการศึกษา ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะทัสคานีก็รีบตอบสนองทันที โดยยุติการอนุญาตให้เลี้ยงผึ้งบนเกาะตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งวาลิโด มองว่าเป็นการตอบสนองที่รวดเร็วและชาญฉลาด
ถ้าพื้นที่นั้นมีแมลงหายาก
วิคตอเรีย วอยซิก (Victoria Wojcik) จากพันธมิตรผู้ผสมเกสรแห่งแคนาดา (Pollinator Partnership Canada) กล่าวเสริมว่า บางครั้งพื้นที่อนุรักษ์ยังใช้สำหรับการเลี้ยงวัวหรือแกะ ซึ่งอาจรบกวนแมลงผสมเกสรในระบบนิเวศได้เช่นกัน เธอย้ำว่า หากพื้นที่นั้นถูกจัดไว้เพื่ออนุรักษ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น ผึ้งป่า การอนุญาตให้เลี้ยงผึ้งในพื้นที่นั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล
นักวิจัยติดตามต่อว่าผึ้งป่าจะฟื้นตัวหรือไม่
ปัจจุบันทีมของ ดาปปอร์โต ยังเดินหน้าติดตามสถานการณ์บนเกาะ เจียนนูทรี ต่อไป โดยคาดหวังว่า เมื่อไม่มีผึ้งเลี้ยงในพื้นที่ระยะยาว ผึ้งป่าจะสามารถฟื้นฟูจำนวนประชากรและพฤติกรรมได้ ทีมได้เก็บข้อมูลบางส่วนไว้แล้วในปีนี้ และวางแผนจะสังเกตต่อเนื่องในปีถัด ๆ ไป
“หากการไม่มีผึ้งเลี้ยงต่อเนื่องช่วยให้ผึ้งป่าฟื้นตัวได้ เราก็จะได้หลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเราควรปรับนโยบายอนุรักษ์ให้รอบคอบยิ่งขึ้น” ดาปปอร์โต กล่าว
ที่มา
https://www.nationalgeographic.com/animals/article/honeybees-wild-bees-competition-flowers-island
ภาพถ่ายโดย Kat Smith: https://www.pexels.com/th-th/photo/551619/
ภาพถ่ายโดย Joseph Fernando: https://www.pexels.com/th-th/photo/28714163/
ภาพถ่ายโดย yazz davis: https://www.pexels.com/th-th/photo/16432462/



