ทรัมป์คืนสู่อำนาจ กดดันภาคธุรกิจสหรัฐฯ ถอยห่าง ESG

ทรัมป์คืนสู่อำนาจ กดดันภาคธุรกิจสหรัฐฯ ถอยห่าง ESG

ทรัมป์คืนสู่อำนาจ กดดันภาคธุรกิจสหรัฐฯ ถอยห่าง ESG หลายบริษัทเลือกเงียบเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

 

หลังจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์หวนคืนสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง วงการธุรกิจในสหรัฐฯ กลับเข้าสู่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง บริษัทชั้นนำหลายแห่งต่างลดระดับการแสดงออกทางสังคม เงียบเสียงในการสนับสนุนประเด็น ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) พร้อมเลี่ยงการเป็นเป้าสายตาของรัฐบาลกลางที่มักเปลี่ยนท่าทีได้อย่างฉับพลัน

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การดำเนินการด้าน ESG กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการธุรกิจ โดยเฉพาะในประเด็นความหลากหลาย ความเสมอภาค และความครอบคลุม (DEI) หลายองค์กรประกาศนโยบายสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+, การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ไปจนถึงการเคลื่อนไหวทางสังคมผ่านแถลงการณ์สาธารณะ แต่หลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุด บริษัทต่างๆ เริ่มถอนตัวจากบทบาททางสังคม และเลือกที่จะ “เงียบไว้ก่อน” เพื่อความอยู่รอด

 

การหารือโต๊ะกลมเรื่อง ‘Invest America’ กับทรัมป์ ซีอีโอของ Uber และคนอื่นๆ ในทำเนียบขาวภาพ: Brendan Smialowski/AFP/Getty Images

 

 

บิล จอร์จ อดีต CEO ของ เมดโทรนิค (Medtronic) บริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ ให้ความเห็นว่า ซีอีโอส่วนใหญ่มองหาความแน่นอนและความสามารถในการคาดการณ์ได้ แต่สิ่งเหล่านี้กลับขาดหายไปภายใต้การบริหารของทรัมป์ ที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เฉพาะหน้าและความสัมพันธ์ส่วนตัว 

 

“ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าทำเนียบขาวต้องการอะไรในวันพรุ่งนี้” เขากล่าว

 

หลายบริษัทจึงเลือก โค้งคำนับเชิงยุทธศาสตร์ อย่างชัดเจน เช่น แอมะซอน (Amazon) ที่ลงทุนกว่า 40 ล้านดอลลาร์ในสารคดีเกี่ยวกับเมลาเนีย ทรัมป์ หรือแอปเปิ้ล (Apple) ที่ประกาศแผนการลงทุนครึ่งล้านล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้กลับไม่ได้ช่วยลดแรงกดดันจากรัฐบาลลงแต่อย่างใด กลับกัน บริษัทเหล่านั้นยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่ภักดีหรือมีท่าทีทางการเมืองที่ขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร

 

ทรัมป์กล่าวระหว่างการแถลงข่าวกับมัสก์ในห้องโอวัลออฟฟิศภาพ: Evan Vucci/AP

 

 

กรณีของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เป็นอีกตัวอย่างสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงระหว่างภาคธุรกิจและรัฐบาล แม้เขาจะบริจาคเงินจำนวนมากให้พรรครีพับลิกัน และทำงานในทีมที่ปรึกษาของรัฐบาล แต่เพียงไม่กี่วันหลังลาออก กลับกลายเป็นเป้าถูกขู่ยกเลิกสัญญาและสิทธิประโยชน์จากรัฐ

 

พอล อาร์เจนติ  (Paul  Argenti)  นักวิชาการจากวิทยาลัยดาร์ตมัธ ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา ชี้ว่า “บริษัทต่างๆ เริ่มตระหนักว่า การนิ่งเฉยหรือการโอนอ่อนอาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป” เขาเรียกร้องให้ภาคธุรกิจแสดงจุดยืนอย่างมีหลักการ แม้จะต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมือง

 

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือทาร์เก็ต (Target) บริษัทค้าปลีกสัญชาติอเมริกันที่ดำเนินกิจการห้างสรรพสินค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต  ที่เคยสร้างภาพลักษณ์บริษัทที่เป็นมิตรต่อ LGBTQ+ แต่หลังเปลี่ยนซีอีโอ แนวทางดังกล่าวกลับถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน จนเกิดกระแสคว่ำบาตรจากกลุ่มผู้บริโภค ในขณะที่คอสต์โก (Costco) บริษัทห้างค้าส่ง เลือกแนวทางตรงกันข้าม โดยปกป้องนโยบาย DEI อย่างหนักแน่น และได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นถึง 98% แม้ฐานลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มอนุรักษนิยมก็ตาม

 

แดน ชเวริน (Hillary Clinton) อดีตนักเขียนสุนทรพจน์ของฮิลลารี คลินตัน เปรียบการทำธุรกิจกับทรัมป์ว่าเหมือนดีลกับมาเฟีย “คุณไม่มีวันชนะ และคุณก็ไม่มีวันปลอดภัย” เขาเตือนว่า “แม้จะทำตามทุกอย่าง ทำเนียบขาวก็ยังหันหลังให้คุณได้ทันที หากมันไม่เป็นประโยชน์กับพวกเขาอีกต่อไป”

 

สถานการณ์ที่บริษัทต่างๆ กำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ไม่ใช่แค่การเอาตัวรอดทางการเมือง แต่ยังรวมถึงการรักษาความเชื่อมั่นจากลูกค้า พนักงาน และผู้ถือหุ้นที่ยังคงให้ความสำคัญกับคุณค่าและเป้าหมายระยะยาว

 

แม้กระแส ความเงียบ จะครอบงำอยู่ในเวลานี้ บางเสียงก็เริ่มเปล่งออกมาเพื่อเตือนว่า การนิ่งเฉยอาจมีราคาที่แพงกว่าการยืนหยัดอย่างชัดเจน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ESG ไม่ใช่แค่เครื่องมือสื่อสารองค์กร แต่มันคือการกำหนดทิศทางของธุรกิจในโลกยุคใหม่ ที่ความโปร่งใส ความหลากหลาย และความรับผิดชอบต่อสังคม คือสินทรัพย์ระยะยาวที่ไม่อาจแลกเปลี่ยนด้วยความกลัวหรือผลประโยชน์เฉพาะหน้าได้

 

 

ที่มา : https://www.theguardian.com/us-news/2025/jun/15/corporate-america-trump?utm