เกษตรกรเปรูแพ้คดี RWE แต่เปิดทางประวัติศาสตร์ “ความยุติธรรมด้านสภาพอากาศ”

เกษตรกรเปรูแพ้คดี RWE แต่เปิดทางประวัติศาสตร์ “ความยุติธรรมด้านสภาพอากาศ”

 

คดีฟ้องร้องที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าทศวรรษระหว่าง “ซอล ลูเซียโน ลิอูยา” เกษตรกรชาวเปรู และบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี RWE ได้จบลงแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อ เมื่อศาลมีคำตัดสินให้ยกฟ้องคดีดังกล่าว โดยไม่เปิดโอกาสให้อุทธรณ์ต่อได้ อย่างไรก็ตาม แม้คำตัดสินจะไม่เป็นผลในทางกฎหมายสำหรับลิอูยาและทีมทนายความ แต่หลายฝ่ายกลับมองว่าคดีนี้ได้สร้างหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ด้าน “ความยุติธรรมด้านสภาพอากาศ” ของโลก

 

ซอล ลูเซียโน ลิอูยา เกษตรกรชาวเปรู ซึ่งฟ้องร้องบริษัทพลังงาน RWE ของเยอรมนี โดยโต้แย้งว่าการปล่อยมลพิษของบริษัทมีส่วนทำให้ธารน้ำแข็งแอนดีสละลาย ถ่ายรูปหน้าทะเลสาบปาลกาโคชา ต่อหน้าศาลชั้นสูงของเยอรมนีในเมืองฮัมม์ เมืองฮัวรัซ ประเทศเปรู เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2025

 

ต้นตอของคดี 

ลิอูยาเป็นเกษตรกรในเมืองฮัวราซ บนที่ราบสูงของประเทศเปรู เมืองแห่งนี้กำลังเผชิญความเสี่ยงอย่างหนักจากน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นได้จากทะเลสาบ Palcacocha ซึ่งมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นมากถึง 34 เท่านับตั้งแต่ปี 1970 อันเป็นผลมาจากการละลายของธารน้ำแข็งที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน

เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว รัฐบาลท้องถิ่นจำเป็นต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างเขื่อนและระบบระบายน้ำเพื่อป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งลิอูยาเชื่อว่าบริษัทผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกควรมีส่วนร่วมในการแบกรับค่าใช้จ่าย

 

ข้อเรียกร้องให้ RWE ชดใช้ตามสัดส่วนการปล่อยมลพิษ

ลิอูยาและทนายความของเขาได้ฟ้อง RWE โดยอ้างว่าบริษัทควรรับผิดชอบในสัดส่วน 0.5% ของค่าใช้จ่ายในการป้องกันน้ำท่วม คิดเป็นมูลค่าราว 17,500 ดอลลาร์สหรัฐ เพราะบริษัทมีส่วนในการปล่อยมลพิษคิดเป็น 0.5% ของการปล่อยมลพิษสะสมทั่วโลกนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม แม้ว่า RWE จะไม่มีสำนักงานหรือดำเนินธุรกิจในเปรูก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ศาลเยอรมนีตัดสินให้ยกฟ้องคดี โดยชี้ว่าความเสี่ยงที่บ้านของลิอูยาในเมืองฮัวราซจะถูกน้ำท่วมภายใน 30 ปีอยู่ที่เพียง 1% ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอต่อการเรียกร้องให้มีความรับผิดทางกฎหมาย อย่างไรก็ดี ศาลไม่ได้ปฏิเสธความเชื่อมโยงระหว่างการปล่อยมลพิษของ RWE กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยรวม

 

บริษัทอาจมีความรับผิดชอบ

แม้ผลคำพิพากษาจะไม่เข้าข้างโจทก์ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม เพราะศาลได้ยืนยันหลักการใหม่ที่ระบุว่า “บริษัทสามารถถูกฟ้องให้รับผิดชอบต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้” ไม่ว่าบริษัทจะตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม

“พวกเขาได้กำหนดหลักการทางกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดขององค์กรด้านภูมิอากาศ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นที่ใดในโลกมาก่อน” โนอาห์ วอล์กเกอร์-ครอว์ฟอร์ด นักวิจัยจาก London School of Economics และ Grantham Research Institute กล่าว

 

จุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สายที่ไหลมาจากเทือกเขาคอร์ดิลเลรา บลังกา ซึ่งบ้านของซาอุล ลูเซียโน ลิอูยา เกษตรกรชาวเปรู กำลังเผชิญภัยจากธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย (ภาพ: Alexander Luna/Germanwatch)

 

ศาลเปิดทางให้ยื่นฟ้องข้ามพรมแดน

ศาลยังระบุว่า ศาลแพ่งสามารถตัดสินคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศได้ และ “ประมวลกฎหมายแพ่งของเยอรมนี” สามารถใช้บังคับกับกรณีที่เกิดนอกประเทศเยอรมนีได้เช่นกัน หมายความว่าโจทก์จากต่างประเทศสามารถยื่นฟ้องบริษัทเยอรมันได้หากมีหลักฐานเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการปล่อยมลพิษ

ที่สำคัญ ศาลยังย้ำว่า การที่ RWE มีใบอนุญาตประกอบกิจการ ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถละเว้นความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดกับสิทธิของบุคคลอื่นได้

 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ถูกยอมรับ

ศาลพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กับความเสี่ยงจากสภาพอากาศสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ถึงปี 1958 จากกราฟของนักวิทยาศาสตร์ Charles Keeling ที่แสดงการสะสมของ CO₂ ในชั้นบรรยากาศ

ศาลยังอ้างถึงรายงานของที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 1965 ที่เตือนถึงอันตรายของการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลต่อภูมิอากาศว่าเป็นข้อมูลที่เพียงพอให้บริษัทตระหนักและพึงมีความรับผิดทางกฎหมายต่อผลกระทบดังกล่าว แม้ว่าวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจะมีความซับซ้อน แต่ศาลเห็นว่าไม่ได้เป็นเหตุผลที่จะปัดความรับผิดออกไป

 

RWE โต้แย้งคำพิพากษา

ในถ้อยแถลงต่อสำนักข่าวรอยเตอร์ โฆษกของ RWE ระบุว่าคำตัดสินนี้ “ไม่ได้สร้างบรรทัดฐานตามความหมายของกฎหมายอังกฤษ” และชี้ว่าศาลในอีก 3 ภูมิภาคของเยอรมนีมีมุมมองทางกฎหมายที่แตกต่างกันเกี่ยวกับคดีลักษณะนี้ นอกจากนี้ยังยืนยันว่าบริษัทดำเนินกิจการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และเห็นว่าประเด็นนโยบายด้านสภาพอากาศควรถูกแก้ไขในระดับการเมืองมากกว่าศาล

 

พ่ายในคดี แต่จุดประกายการต่อสู้ใหม่

แม้ลิอูยาจะไม่ได้รับค่าชดเชยตามที่ร้องขอ แต่คำตัดสินครั้งนี้กลับกลายเป็น แรงผลักดันสำคัญให้คดีด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่โจทก์สามารถพิสูจน์ “ความเสี่ยง” และ “ความเสียหาย” ได้ชัดเจนกว่าคดีนี้

คดีของลิอูยาแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการนำเอากฎหมายมาใช้จัดการกับความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศในระดับโลก และแม้จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายการต่อสู้ที่ยังต้องดำเนินต่อไป แต่ก็เป็น “ชัยชนะทางหลักการ” ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่เรียกร้องความรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้

 

อ้างอิง

อ้างอิง