ชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ภัยคุกคามสัตว์ป่าและระบบนิเวศ
เมื่อพูดถึงกำแพงชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก คนส่วนใหญ่มักนึกถึงประเด็นการเมืองและการย้ายถิ่นฐาน แต่มีเรื่องราวอีกด้านหนึ่งที่ถูกมองข้าม – ผลกระทบอันร้ายแรงต่อสัตว์ป่าและระบบนิเวศที่เปราะบาง
กำแพงที่ตัดขาดวิถีชีวิตของสัตว์ป่า
กำแพงชายแดนที่ทอดยาวระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปสรรคสำหรับมนุษย์ แต่ยังเป็นเส้นแบ่งที่ตัดขาดเส้นทางชีวิตของสัตว์ป่านับพันนับหมื่นชีวิต
“นี่คือทางเดินสัตว์ป่าที่สำคัญ สัตว์นักล่าขนาดใหญ่และสัตว์อื่น ๆ เคยเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในภูมิประเทศนี้ แต่หลังจากสร้างกำแพงแล้วพวกมันจะไม่สามารถเดินข้ามไปมาได้อีก”
ด้วยโครงสร้างเสาเหล็กสูง 30 ฟุต และมีช่องว่างระหว่างเสาเพียง 4 นิ้ว กำแพงนี้ได้ปิดกั้นการเคลื่อนที่ตามธรรมชาติของสัตว์หลากหลายชนิด ผลการศึกษาในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า:
- สัตว์ป่าที่ข้ามผ่านชายแดนลดลงถึง 86%
- สัตว์ใหญ่อย่างหมาป่า หมี แอนทิโลป และเสือจากัวร์ ไม่สามารถข้ามชายแดนได้เลย (ลดลง 100%)
Cr.ภาพ : Defenders of Wildlife
หุบเขาซานราฟาเอล สมรภูมิแห่งการอนุรักษ์
พื้นที่ล่าสุดที่กำลังจะถูกกำแพงตัดผ่านคือ “หุบเขาซานราฟาเอล” ในรัฐแอริโซนา พื้นที่ซึ่งได้ชื่อว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ทอดยาวข้ามทะเลทรายสูง และล้อมรอบด้วยทิวเขาสูงชันที่เรียกว่า “สกายไอแลนด์”
หุบเขาแห่งนี้เป็นบ้านของสัตว์หลากหลายชนิด:
- สัตว์นักล่า เช่น หมี สิงโตภูเขา และหมาป่า
- สัตว์สายพันธุ์กึ่งเขตร้อน เช่น หมูป่าทะเลทรายจาเวลินา
- สัตว์ตระกูลแมวใหญ่หายาก เช่น แมวออเซลอตและเสือจากัวร์
ที่สำคัญ กล้องติดตามสัตว์ป่าแทบไม่เคยจับภาพคนหนีเข้าเมืองได้เลยในพื้นที่นี้ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา
Cr. ภาพ : Wildlands Network
สัตว์ป่าที่พยายามเอาชีวิตรอด เรื่องราวของ “มิสเตอร์กูดบาร์”
เรื่องราวของหมาป่าเม็กซิกันสีเทาที่ชื่อ “มิสเตอร์กูดบาร์” สะท้อนให้เห็นความทุกข์ของสัตว์ป่าที่พยายามข้ามกำแพงนี้ เขาเดินวนไปวนมาตามแนวกำแพงชายแดนยาวประมาณ 37 กิโลเมตร เพื่อพยายามหาทางข้ามไปยังเม็กซิโก แต่หลังจากพยายามหลายวัน เขาก็ยอมแพ้และต้องกลับไปยังป่าในนิวเม็กซิโก
“เมื่อคุณเห็นมันด้วยตาตัวเอง คุณเห็นมันหายใจแรงและวิ่งไปมาเพื่อหาทางข้าม แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว สัตว์ตัวนี้กำลังพยายามเอาชีวิตรอด แต่มีสิ่งกีดขวางขนาดยักษ์ขวางทางอยู่”
วิกฤตสภาพอากาศซ้ำเติมปัญหา
ในภาวะที่วิกฤตสภาพอากาศทำให้ภัยแล้งทางตะวันตกเฉียงใต้รุนแรงขึ้น สัตว์ป่าจำเป็นต้องขยายอาณาเขตออกไปไกลขึ้นเพื่อหาอาหารและน้ำ การมีกำแพงกั้นทำให้:
- สัตว์ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารและน้ำที่สำคัญ
- พฤติกรรมของสัตว์เปลี่ยนไป
- หลายสายพันธุ์มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์
ราคาที่ต้องจ่าย งบประมาณมหาศาล
การสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 30 ล้านดอลลาร์ต่อไมล์ โดยรัฐสภาได้รวมงบประมาณ 46,500 ล้านดอลลาร์สำหรับการสร้างกำแพงไว้ในงบประมาณที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเสนอ
“มันเป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายสูง ไม่จำเป็น และเป็นหายนะต่อสิ่งแวดล้อม หากสร้างเสร็จ กำแพงนี้จะตัดขาดทวีปทั้งทวีป”
Cr. ภาพ : Wildlands Network
ความหวังเล็กๆ จากความผิดพลาดในการก่อสร้าง
มีข้อสังเกตว่าในบางพื้นที่ เช่น นิวเม็กซิโก เสาแต่ละต้นของกำแพงมีระยะห่างกันประมาณ 5-6 นิ้ว แทนที่จะเป็น 4 นิ้วตามแผน ช่องว่างที่เพิ่มขึ้นมานี้ช่วยให้สัตว์ขนาดเล็กถึงกลาง เช่น จาเวลินาและโคโยตี้ สามารถลอดผ่านไปได้
มุมมองที่แตกต่าง
ในขณะที่การถกเถียงเรื่องกำแพงชายแดนยังคงดำเนินต่อไป มีเสียงเรียกร้องให้มองหาทางแก้ปัญหาที่สมดุลมากขึ้น
“แทนที่จะใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างสุรุ่ยสุร่าย ทำลายความพร้อมของกองทัพ และเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของครอบครัวชาวอเมริกัน ควรเน้นไปที่การแก้ไขระบบตรวจคนเข้าเมืองที่มีปัญหา”
การสร้างกำแพงชายแดนอาจเป็นทางออกที่เห็นได้ชัดสำหรับความท้าทายด้านการย้ายถิ่นฐาน แต่ผลกระทบที่มองไม่เห็นต่อระบบนิเวศและสัตว์ป่าอาจมีความรุนแรงและยาวนานกว่าที่เราคาดคิด ความท้าทายคือการหาสมดุลระหว่างความมั่นคงของมนุษย์และการปกป้องโลกธรรมชาติที่เราทุกคนต้องพึ่งพา
อ้างอิง
https://www.wildlandsnetwork.org/news/border-wall-update-2025
https://defenders.org/sites/default/files/publications/defenders_borderwall_report_full_0.pdf
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
จีนค้าน ‘ทรัมป์’ ลงนามคำสั่งลุยทำ ‘เหมืองแร่ใต้ทะเลลึก’ ละเมิดกฎหมาย ทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเล
