เสียงเตือนจากผืนป่าระนอง: แผนสร้างเขื่อน 9 แห่ง รองรับแลนด์บริดจ์อาจแลกด้วยพื้นที่ป่ากว่า 9,000 ไร่
ผู้เชี่ยวชาญนิเวศวิทยาเตือนภัยเงียบกลางผืนป่าระนอง เมื่อแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายใต้โครงการ “แลนด์บริดจ์ระนอง-ชุมพร” และ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC)” อาจมาพร้อมกับราคาที่แพงเกินจ่าย — การเฉือนพื้นที่ป่าธรรมชาติกว่า 9,000 ไร่เพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำ 9 แห่งทั่วจังหวัดระนอง จุดประเด็นร้อนที่กำลังถูกพูดถึงในกลุ่มอนุรักษ์และภาคประชาสังคม
— แผนสร้าง 9 เขื่อน/อ่างเก็บน้ำทั่วระนอง ภัยคุกคามระบบนิเวศ
จากเอกสารประกอบการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ SEC และแลนด์บริดจ์ พบว่ามีแผนก่อสร้าง อ่างเก็บน้ำ 9 แห่ง ครอบคลุมทุกอำเภอของจังหวัดระนอง ได้แก่
-
อ.กระบุรี: อ่างเก็บน้ำคลองจั่น, คลองวัน, คลองน้ำจืด
-
อ.ละอุ่น: อ่างเก็บน้ำทุ่งตาพล, คลองละอุ่น
-
อ.เมืองระนอง: อ่างเก็บน้ำคลองบางริ้น
-
อ.กะเปอร์: อ่างเก็บน้ำคลองกะเปอร์, คลองเคียนงาม
-
อ.สุขสำราญ: อ่างเก็บน้ำคลองกำพวน
พื้นที่ที่ใช้ในการพัฒนาเขื่อนเหล่านี้รวมกว่า 11,287 ไร่ โดยในจำนวนนี้เป็นพื้นที่ป่าถึง 9,425 ไร่ และพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติที่มีสถานะทางกฎหมาย เช่น
-
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า: 3,039 ไร่
-
อุทยานแห่งชาติ: 1,607 ไร่
-
ป่าลุ่มน้ำชั้น 1: 644 ไร่
-
ป่าสงวนแห่งชาติโซน C: 4,135 ไร่
อ่างเก็บน้ำทั้ง 9 แห่งมีความจุรวมกว่า 299.59 ล้านลูกบาศก์เมตร
— จาก “เมืองป่า” สู่ “เมืองอุตสาหกรรม”?
จังหวัดระนองเป็นพื้นที่ที่มีภูมิประเทศแบบภูเขาถึง 86% ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองฝน 8 แดด 4” เพราะมีฝนตกชุกตลอดทั้งปี เช่นในปี พ.ศ. 2565 มีฝนตกถึง 226 วัน รวมปริมาณ 4,737.8 มิลลิเมตร ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการน้ำในการเกษตรและการอุปโภคบริโภคโดยทั่วไป
ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ จังหวัดที่เคยมีพื้นที่สีเขียวมากที่สุดในประเทศ (ถึง 517 ตร.ม. ต่อประชากร 1 คน) อาจถูกเปลี่ยนโฉมเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย โดยมีแนวโน้มให้ สัมปทานแก่ต่างชาติยาวนานถึง 99 ปี พร้อมสิทธิพิเศษมากมาย เช่น
-
ยกเว้นภาษีให้กับนักลงทุน
-
เปิดเสรีการใช้แรงงานต่างด้าวแบบไม่จำกัด
-
ให้ชาวต่างชาติทำอาชีพที่เคยสงวนไว้สำหรับคนไทย
-
อนุญาตให้ใช้สกุลเงินต่างประเทศในพื้นที่
สถานการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า SEC อาจกลายเป็น “นิคมศูนย์เหรียญ” แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในเขต EEC (ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก) ซึ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในระดับสูงสุด โดยแลกกับสิทธิประโยชน์ที่อาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสังคม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม
–เสียงจากนักวิชาการ “ป่าคือมรดกที่ไม่ควรถูกแลกกับผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม”
บัณฑิตา อย่างดี นักนิเวศวิทยาและนักอนุรักษ์ที่ติดตามสถานการณ์ป่าระนองมาอย่างต่อเนื่อง ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กของเธอเตือนว่า “อุตสาหกรรมกำลังรุกป่าระนอง ทั้งป่าบกและป่าชายเลน” ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียระบบนิเวศที่ฟื้นฟูได้ยาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงและเป็นแหล่งต้นน้ำ
เธอเรียกร้องให้สังคมร่วมกัน “ส่งเสียง แชร์ความห่วงใย” ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรจะเกิดขึ้นในรูปแบบที่อาจย้อนกลับไม่ได้
— ข้อถกเถียงที่ต้องจับตา “พัฒนา” หรือ “ทำลาย” ในชื่อของความก้าวหน้า?
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมต่อฝั่งอ่าวไทยและอันดามันผ่านโครงการแลนด์บริดจ์นั้นมีเป้าหมายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดภาระการขนส่งทางช่องแคบมะละกา แต่คำถามสำคัญคือ ต้องแลกกับอะไร?
ในกรณีของระนอง นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ หากแต่คือภาพสะท้อนของแนวโน้มการพัฒนาแบบเร่งรีบที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรมของพื้นที่
การรับฟังเสียงจากชุมชนท้องถิ่น นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ “ความเจริญ” ไม่กลายเป็นดาบสองคมที่เฉือนทำลายมรดกทางธรรมชาติที่ประเมินค่าไม่ได้
