อนาคตสดใส! ‘แมลงกินได้’ โอกาสทองส่งออกไทย ให้โปรตีนสูง แต่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ที่ทั่วโลกกำลังต้องการ

อนาคตสดใส! ‘แมลงกินได้’ โอกาสทองส่งออกไทย ให้โปรตีนสูง แต่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ที่ทั่วโลกกำลังต้องการ

ใครจะคิดว่าสิ่งที่หลายคนอาจรังเกียจกลับกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม? ‘แมลงกินได้’กำลังกลายเป็นเทรนด์ระดับโลกที่มาแรง ด้วยคุณสมบัติที่ให้โปรตีนสูงแต่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ที่ไทยเป็นผู้ส่งออกแมลงกินได้อันดับ 6 ของโลก

 

 

ตลาดแมลงกินได้โตไม่หยุด

 

ตลาดแมลงกินได้ทั่วโลกในปี 2024 มีมูลค่าสูงถึง 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25.1% ต่อปีระหว่าง 2025-2030 โดยเฉพาะในยุโรป อเมริกา และเอเชียตะวันออก ความนิยมนี้เห็นได้จากผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ ทั้งโปรตีนผง โปรตีนอัดแท่ง และอาหารสัตว์

น่าภูมิใจที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกแมลงกินได้อันดับ 6 ของโลก คิดเป็น 6% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หรือประมาณ 5.86 แสนดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา

 

                                                                                             Cr.ภาพ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 

ทำไมแมลงถึงเป็นโอกาสทองของไทย?

 

  1. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาช้านาน

คนไทยมีองค์ความรู้ในการจับ เลี้ยง และปรุงแมลงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นจิ้งหรีด ดักแด้ แมงดา และอื่นๆ อีกมากมาย ปัจจุบันเราสามารถผลิตแมลงเศรษฐกิจได้มากกว่า 7,000 ตันต่อปี โดยตลาดในประเทศก็ตอบรับดี มีการแปรรูปและจำหน่ายทั้งในตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร

 

  1. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเหนือชั้น

เมื่อเทียบกับปศุสัตว์แบบดั้งเดิม การผลิตโปรตีนจากแมลง 1 กิโลกรัม ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1 กิโลกรัม CO2eq เท่านั้น น้อยกว่าการทำปศุสัตว์ถึง 27-40 เท่า!

ไม่เพียงเท่านั้น การเลี้ยงแมลงยังใช้พื้นที่จำกัด ประหยัดน้ำ และใช้อาหารน้อยกว่าการเลี้ยงวัว หมู หรือไก่ถึง 5-13 เท่า ทำให้เป็นทางเลือกที่ยั่งยืนกว่ามาก

 

  1. สภาพอากาศร้อนของไทยกลับเป็นข้อได้เปรียบ

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อปศุสัตว์แบบดั้งเดิม แต่แมลงกลับสามารถปรับตัวและเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อน อุณหภูมิสูงอาจช่วยให้แมลงบางชนิดเติบโตเร็วขึ้น ทำให้การผลิตโปรตีนจากแมลงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

 

ผลตอบแทนที่น่าจับตา

 

การลงทุนเลี้ยงแมลงเริ่มต้นที่ประมาณ 45,000-75,000 บาท สามารถสร้างกำไรจากการจำหน่ายแมลงสดได้ 9,600-37,000 บาทต่อปี และหากแปรรูปเป็นแป้งแมลง กำไรอาจสูงถึง 260,000 บาทต่อปี

หากพิจารณาการใช้พื้นที่ การเลี้ยงแมลงให้ผลตอบแทนสูงถึง 9,300 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่การเลี้ยงไก่เนื้อหรือโคนมให้กำไรเพียง 1,500 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น

 

                                                                                                        Cr.ภาพ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 

ความท้าทายในการเติบโต

 

แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ตลาดแมลงกินได้ยังมีความท้าทายที่ต้องเอาชนะ:

  1. การยอมรับของผู้บริโภค – หลายคนยังไม่คุ้นเคยและกังวลเรื่องความปลอดภัย
  2. การแข่งขันในตลาดโลก – ต้องแข่งกับผู้นำตลาดอย่างสเปน จีน และออสเตรเลีย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึง 64%
  3. การสนับสนุนจากภาครัฐ – จำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมเชิงนโยบายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

 

อนาคตแมลงกินได้ของไทย

 

ด้วยองค์ความรู้ท้องถิ่น ภูมิอากาศที่เหมาะสม และกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลก ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกแมลงกินได้ หากได้รับการผลักดันอย่างจริงจังทั้งการส่งเสริมการบริโภคในประเทศและการสนับสนุนจากภาครัฐ อุตสาหกรรมนี้ รวมถึง SME อาจสร้างรายได้มหาศาลและเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนระบบอาหารที่ยั่งยืนของไทยและของโลกในอนาคต

เมื่อโลกกำลังมองหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับวิกฤตอาหารและสิ่งแวดล้อม “แมลงกินได้” จากประเทศไทยอาจเป็นคำตอบที่ทั่วโลกกำลังรอคอย

 

อ้างอิง

 

https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9680000045733

 

บทความอื่น ที่น่าสนใจ

พลิกชีวิตด้วยปลายนิ้ว! “DepFund” แอปกู้ยืมเงินเพื่อคนพิการ โอกาสสร้างอาชีพ-รายได้อย่างยั่งยืน