พลิกฟื้นพื้นที่รกร้าง สร้างมูลค่าด้วยเทคโนโลยีปลูกถั่วเหลืองอินทรีย์ แปรรูปเป็น Plant-Based สร้างรายได้ยั่งยืน

พลิกฟื้นพื้นที่รกร้าง สร้างมูลค่าด้วยเทคโนโลยีปลูกถั่วเหลืองอินทรีย์ แปรรูปเป็น Plant-Based สร้างรายได้ยั่งยืน

จากพื้นที่รกร้างสู่แหล่งรายได้ยั่งยืน! กรมวิชาการเกษตรผนึกกำลังภาคีเครือข่าย สร้างแปลงต้นแบบถั่วเหลืองคาร์บอนต่ำที่เชียงใหม่ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ตั้งเป้าเพิ่มผลผลิตจาก 267 เป็น 410 กิโลกรัมต่อไร่ ตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงทางอาหารและการรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมรองรับตลาด Plant-Based ที่กำลังบูม

 

กรมวิชาการเกษตรได้จัดทำโครงการที่น่าจับตามอง ด้วยการพัฒนา “แปลงโมเดลต้นแบบการผลิตถั่วเหลืองประสิทธิภาพสูงแบบคาร์บอนต่ำ” ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และบริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด

 

 

 

จากนำเข้า 3 ล้านตันต่อปี สู่โอกาสทองของเกษตรกรไทย

 

บริษัทสยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดโครงการพัฒนาการปลูกถั่วเหลืองอินทรีย์ครบวงจร นำเทคโนโลยีล้ำสมัยยกระดับผลผลิตเกษตรกรไทย จากเดิมที่ประเทศไทยต้องนำเข้าถั่วเหลืองถึง 3 ล้านตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 60,000 ล้านบาท กลายเป็นโอกาสทองสำหรับเกษตรกรในการสร้างรายได้เสริมหลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าว

“เรามุ่งส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองไทยสู่ความยั่งยืน หากทดแทนการนำเข้าได้แม้เพียงบางส่วน จะช่วยสร้างรายได้มหาศาลให้กับเกษตรกรไทย” นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าว

 

นวัตกรรมที่เปลี่ยนวิถีการปลูกถั่วเหลืองแบบเดิม ๆ

 

สยามคูโบต้านำเสนอโซลูชันแบบ KAS (KUBOTA Agri Solutions) ครบวงจรในทุกขั้นตอน

  1. จัดการฟางข้าวอย่างชาญฉลาด – ใช้เครื่องอัดฟางแทนการเผา และไถกลบตอซังเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด
  2. เทคนิคการหยอดเมล็ดแม่นยำ – เปลี่ยนจากการหว่านเมล็ดแบบดั้งเดิมมาใช้เครื่องหยอดเมล็ด ลดปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์จาก 25-30 กก./ไร่ เหลือเพียง 15 กก./ไร่
  3. การดูแลด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ – ใช้โดรนเกษตรพ่นปุ๋ยและสารชีวภัณฑ์ ทำงานรวดเร็วและแม่นยำ
  4. เก็บเกี่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ – ประยุกต์ใช้รถเกี่ยวนวดข้าวติดตั้งชุดอุปกรณ์หัวเก็บเกี่ยวถั่ว แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน

 

 

ความสำเร็จที่จับต้องได้ ผลผลิต 300 กิโลกรัมต่อไร่

 

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนพืชผักปลอดภัยท่าเดื่อ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ เป็นพื้นที่ต้นแบบความสำเร็จของโครงการ ที่สามารถเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองอินทรีย์ได้สูงถึง 300 กิโลกรัมต่อไร่ และขยายพื้นที่การใช้เครื่องจักรครบวงจรจาก 5 ไร่ในปีแรก เป็น 102 ไร่ในปี 2567

“เราเริ่มหันมาปลูกถั่วเหลืองในฤดูหลังนา เพราะเล็งเห็นประโยชน์ทั้งด้านการบำรุงดินและสร้างรายได้เสริม การได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีจากสยามคูโบต้าช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น และมีผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง” นางบัวโฮม สาริพันธ์ ตัวแทนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เล่าถึงประสบการณ์

 

 

ถั่วเหลือง พืชทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับฤดูหลังนา

 

นายธงชัย โอฬารพัฒนะชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า “ถั่วเหลืองเป็นพืชทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกรชัยภูมิ เนื่องจากเป็นพืชอายุสั้น ใช้น้ำน้อย และช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มความสมดุลของธาตุอาหารในดิน ซึ่งส่งผลดีต่อการเพาะปลูกในรอบถัดไป”

 

 

 

มุ่งสู่ศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองอินทรีย์แห่งแรกของไทย

 

สยามคูโบต้ามีเป้าหมายพัฒนากลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ท่าเดื่อให้เป็น “ศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองอินทรีย์ด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรครบวงจร” แห่งแรกของประเทศไทย เพื่อเป็นต้นแบบให้เกษตรกรทั่วประเทศได้เรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้

โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับผลผลิตถั่วเหลืองของประเทศให้สูงขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างรายได้ สร้างโอกาส และยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต

 

 

เกษตรกรศรีสะเกษเปลี่ยนที่รกร้างเป็นรายได้ โมเดลปลูกถั่วเหลืองแก้จนที่ประสบความสำเร็จ

 

ในพื้นที่แห้งแล้งของจังหวัดศรีสะเกษ มีนวัตกรรมการแก้ปัญหาความยากจนที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชุมชน โดยเฉพาะในตำบลหนองแก้ว ที่ซึ่งเกษตรกรกำลังเปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้กลายเป็นแหล่งรายได้ด้วยการปลูกถั่วเหลือง

 

ที่มาของโครงการ ปัญหาความยากจนและพื้นที่ว่างเปล่า

 

จากการสำรวจของทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ พบว่าเกษตรกรในพื้นที่ประสบปัญหาสำคัญคือ ขาดแคลนทรัพยากรน้ำ และมีพื้นที่เกษตรว่างเปล่าหลังฤดูทำนาถึง 3-4 เดือน ทำให้ขาดรายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว

ผศ.ดร.อนุวัฒน์ ศรีสุวรรณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เล่าว่า “จากการสำรวจครัวเรือนคนจนที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พบว่าส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นเกษตรกร และจุดด้อยที่สุดคือการขาดแคลนน้ำ ทำให้หลังการเก็บเกี่ยวข้าว เกษตรกรมีช่วงเวลา 3-4 เดือนที่ไม่มีรายได้เลย”

 

การเลือกถั่วเหลือง พืชมูลค่าสูงที่เหมาะกับพื้นที่

 

ทีมนักวิจัยเลือก ถั่วเหลือง เป็นพืชหลังนาด้วยเหตุผลสำคัญ

  1. เป็นพืชเกษตรมูลค่าสูง ที่ไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวนมาก
  2. ใช้เวลาปลูกเพียง 3-4 เดือนก็เก็บเกี่ยวได้ พอดีกับช่วงเวลาว่างหลังทำนา
  3. ช่วยบำรุงดินหลังจากเก็บเกี่ยว ทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้นสำหรับปลูกข้าวในฤดูถัดไป

 

การดำเนินโครงการ ค่อย ๆ เติบโตอย่างยั่งยืน

 

โครงการปลูกถั่วเหลืองแก้จนเริ่มต้นจากการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย โดยแบ่งครัวเรือนในชุมชนออกเป็น 4 กลุ่ม:

  • กลุ่มอยู่ลำบาก ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
  • กลุ่มอยู่ยาก ต้องการการสนับสนุน
  • กลุ่มอยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือเร่งด่วน
  • กลุ่มอยู่ดี มีศักยภาพพร้อม สามารถพัฒนาเป็นผู้ประกอบการท้องถิ่นได้

 

ในปีแรก ทีมวิจัยเริ่มด้วยการนำเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองและสอนวิธีการปลูกให้กับเกษตรกร โดยมีผู้เข้าร่วมน้อยราย เนื่องจากยังมีความกังวลเรื่องสภาพพื้นที่แห้งแล้ง

ปีที่สอง ได้มีการพัฒนาต่อยอดด้วยการสอนการแปรรูปถั่วเหลือง ทำให้เกษตรกรเห็นว่าถั่วเหลืองไม่เพียงขายเป็นเมล็ดพันธุ์เท่านั้น แต่ยังสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงได้

ปีที่สาม (ปัจจุบัน) มุ่งเน้นการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรม เช่น บริษัทปัจจัยชีวี (ศีรษะอโศก) เพื่อรับซื้อผลผลิตและร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์

 

 

การแปรรูป เพิ่มมูลค่าด้วยผลิตภัณฑ์ Plant-Based

 

ภายใต้การนำของ ผศ.ดร.จิรนันท์ รัตสีวอ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โครงการได้พัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายจากถั่วเหลือง ได้แก่

  1. Plant-Based หรือโปรตีนเกษตร เป็นเนื้อเทียมที่ทำจากถั่วเหลือง
  2. ผงลาบเจ ใช้ผสมกับ Plant-Based และผักสด เป็นเมนูลาบเจได้ทันที
  3. เทมเป้ อาหารหมักจากถั่วเหลืองแบบญี่ปุ่น เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ
  4. หมูยอเจ โปรตีนสูง สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลาย เช่น ผัดกระเพรา หรือยำ
  5. ผงถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ตอบโจทย์ตลาดอาหารเพื่อสุขภาพและกลุ่มผู้บริโภคมังสวิรัติ/วีแกน ซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

การสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่น

 

จิรพันธ์ สมจิตร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแก้ว มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการ ด้วยการ

  • เป็นตัวอย่างในการปลูกถั่วเหลือง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรในพื้นที่
  • ประสานงานกับผู้นำชุมชน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ
  • สร้างโมเดลความร่วมมือระหว่างกลุ่มเกษตรกร โดยให้กลุ่ม “อยู่พอได้” และ “อยู่ดี” ปลูกถั่วเหลืองบนพื้นที่ของกลุ่ม “อยู่ลำบาก” และ “อยู่ยาก” เพื่อประโยชน์ร่วมกัน

 

 

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น รายได้ที่จับต้องได้

 

มาณิกา คำสังวาลย์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหนองเข้ากรรม และหนึ่งในสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

“ตอนแรกที่อาจารย์มาชวนทำ Plant-Based หรือเทมเป้ ชาวบ้านไม่รู้จักเลย แต่พอได้ลองทำ ลองชิม และนำไปออกร้านขาย ก็ได้ผลตอบรับดีมาก”

การแปรรูปช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับถั่วเหลืองอย่างชัดเจน

  • ขายเมล็ดถั่วเหลือง กิโลกรัมละ 25 บาท
  • หมูยอเจ: แท่งละ 35 บาท
  • เทมเป้: ถุงละ 35 บาท
  • Plant-Based ชิ้นละ 50 บาท

 

 

บทเรียนความสำเร็จ

 

โครงการปลูกถั่วเหลืองแก้จนเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยการ

  1. วิเคราะห์ปัญหาและศักยภาพของพื้นที่ เลือกถั่วเหลืองที่เหมาะกับพื้นที่แห้งแล้งและระยะเวลาว่างหลังฤดูทำนา
  2. สร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการแปรรูป ไม่เพียงขายวัตถุดิบ แต่พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ตอบโจทย์ตลาด
  3. เชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม สร้างความมั่นคงทางการตลาดผ่านความร่วมมือกับผู้ประกอบการ
  4. บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งมหาวิทยาลัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเกษตรกร

 

แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องน้ำ ทำให้ผลผลิตไม่สูงมาก (ประมาณ 120 กิโลกรัมต่อไร่) แต่การแปรรูปช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร พร้อมกับตอบโจทย์ความต้องการของตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังเติบโต

ปัจจุบัน โครงการกำลังพัฒนาระบบติดตามผลผลิต เพื่อให้เกษตรกรสามารถคำนวณผลตอบแทนได้แม่นยำ และวางแผนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

อ้างอิง

https://www.khaosod.co.th/technologychaoban/techno-news/article_308050

https://www.khaosod.co.th/technologychaoban/techno-news/article_304909

 

บทความอื่น ที่น่าสนใจ

 

ศึกษาโมเดล ‘ถั่วเหลืองคาร์บอนต่ำ’ ผลผลิตพุ่ง 53% ยกระดับเกษตรไทยสู่ตลาด ESG โลก