‘ข้าวสารชุบสมุนไพร’ นวัตกรรมการตลาดที่ช่วยชาวนาไทยพ้นวิกฤติราคาข้าวตกต่ำ

‘ข้าวสารชุบสมุนไพร’ นวัตกรรมการตลาดที่ช่วยชาวนาไทยพ้นวิกฤติราคาข้าวตกต่ำ

ในขณะที่ราคาข้าวตกต่ำยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเกษตรกรไทย มีชุมชนหนึ่งในจังหวัดเชียงรายที่สามารถฝ่าวิกฤตินี้ได้ด้วยแนวคิดการแปรรูปที่สร้างสรรค์และกลยุทธ์การตลาดแบบใหม่ “บ้านทุ่งต้อม” อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย กลายเป็นต้นแบบของการทำเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่มที่น่าจับตามอง

 

 

จากชาวนาสู่นักการตลาดรุ่นใหม่

 

“เริ่มต้นทำนาลงทุน 40,000 บาท แต่ขายข้าวได้แค่ 30,000 บาท” นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ นางสาวพิชญาภา ณรงค์ชัย ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหมูดำเหมยซานเกษตรพอเพียง เล่าถึงประสบการณ์หลังจากลาออกจากงานประจำมาทำนาเต็มตัว การขาดทุนครั้งนั้นทำให้เธอต้องคิดใหม่เพื่อความอยู่รอด

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนก่อตั้งในปี 2558 โดยสมาชิก 7 คนที่ส่วนใหญ่เคยทำงานในโรงแรมแต่ตกงานในปี 2559 จึงกลับมาทำนาในบ้านเกิด พวกเขาเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนเพียง 14,000 บาท แต่ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1,000 คน และมีผลิตภัณฑ์หลากหลายทั้งด้านข้าว ปศุสัตว์ และประมง

 

 

นวัตกรรมข้าวสารชุบสมุนไพร เพิ่มมูลค่าด้วยสีสัน

 

ความโดดเด่นของกลุ่มคือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวด้วยนวัตกรรม “ข้าวสารชุบสมุนไพร” โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ “ข้าวหอมมะลิ 4 ธาตุ 4 สี” ที่ใช้สมุนไพรธรรมชาติในการสร้างสีสันให้กับเมล็ดข้าว:

  • สีม่วง จากกระเจี๊ยบ
  • สีฟ้า จากอัญชัน
  • สีส้ม จากฟักข้าว
  • สีขาว จากข้าวธรรมชาติ

 

กรรมวิธีการผลิตเริ่มจากการนำสมุนไพรมาต้มให้ได้น้ำสี ปล่อยให้เย็น จากนั้นนำข้าวสารที่คัดแยกเมล็ดหักออกแล้วมาคลุกกับน้ำสมุนไพร แล้วนำเข้าเครื่องอบ ทำให้สีของสมุนไพรติดในเมล็ดข้าว สามารถขายได้ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งสูงกว่าข้าวสารทั่วไปหลายเท่า

 

 

การตลาดแบบคนรุ่นใหม่ ไม่กลัวการตลาด

 

จุดแข็งของกลุ่มบ้านทุ่งต้อมอยู่ที่การทำตลาดแบบคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย นางสาวพิชญาภากล่าวอย่างมั่นใจว่า “กลุ่มของเราไม่กลัวการตลาด” แม้เคยขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Lazada, Shopee และ TikTok แต่ไม่ได้ยอดขายมากนัก พวกเขาจึงปรับกลยุทธ์โดยสร้างแบรนด์ “TUNGTOM ORGANIC” และเน้นการสื่อสารโดยตรงกับลูกค้า

 

กลุ่มมีทีมแอดมิน 4 คนที่เป็นคนรุ่นใหม่ในชุมชน ทำหน้าที่ผลิตคลิป เล่าเรื่องเบื้องหลังการผลิตแบบอินทรีย์ และยังสอนให้สมาชิกรุ่นแม่ถ่ายคลิป ตัดต่อ และเล่าเรื่องราวของการปลูกข้าว เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู หรือแม้แต่การใช้ ChatGPT

 

พวกเขาตั้งเป้าส่งข้อมูลไปยังเพจร้านอาหารทั่วประเทศ 300 ร้านต่อเดือน หากมีการตอบรับ 10 ร้าน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ปัจจุบันกลุ่มมีผลผลิตข้าว 2,000 ตัน และมีลูกค้าสั่งจองล่วงหน้าเต็มกำลังการผลิต

 

 

จากนาข้าวสู่ระบบนิเวศเกษตรแบบครบวงจร

 

นอกจากการแปรรูปข้าว กลุ่มบ้านทุ่งต้อมยังปรับพื้นที่นาให้เป็นระบบนิเวศเกษตรแบบครบวงจร โดยในพื้นที่นา 20 ไร่ จะขุดสระน้ำ 7 ไร่ เพื่อเก็บน้ำสำหรับการเกษตรและป้องกันน้ำท่วม-น้ำแล้ง สระน้ำยังใช้เป็นบ่อเลี้ยงปลานิล ส่วนพื้นที่รอบๆ ใช้เลี้ยงหมูเหมยซานที่กินรำข้าวและปลายข้าวอินทรีย์เป็นอาหาร

ระบบเกษตรแบบครบวงจรนี้สร้างรายได้เสริมอย่างต่อเนื่อง โดยหมูเหมยซานสามารถขายได้กิโลกรัมละประมาณ 300 บาท และปลานิลถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มอย่างผงโรยข้าวปลานิลออแกนิค 4 รส และน้ำพริกข่าปลานิล 4 รส

 

เบื้องหลังความสำเร็จ การสนับสนุนจากภาครัฐ

 

ความสำเร็จของกลุ่มได้รับการสนับสนุนจากกรมการข้าว โดยเฉพาะกองพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว และศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย ที่ช่วยพัฒนากระบวนการผลิตข้าว การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว และยกระดับกลุ่มเกษตรกรให้มีอาชีพที่มั่นคง

นายโอวาท ยิ่งลาภ ผู้อำนวยการกองพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว ให้ข้อมูลว่า กรมการข้าวได้ดำเนินนโยบายเพิ่มมูลค่าจากการแปรรูปสินค้าข้าวไทย พัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ รวมถึงให้คำแนะนำด้านมาตรฐาน GMP เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิตและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

 

บทเรียนจากบ้านทุ่งต้อม

 

ความสำเร็จของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านทุ่งต้อมเป็นตัวอย่างที่ดีของการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำด้วยนวัตกรรมและการตลาดแบบใหม่ จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กลับบ้านมาพัฒนาบ้านเกิด พวกเขาได้พิสูจน์ว่าการทำนาสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้ หากรู้จักเพิ่มมูลค่าและเข้าใจการตลาด

ผู้สนใจสามารถติดต่อสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนหมูดำเหมยซานเกษตรพอเพียง เลขที่ 212 หมู่ 5 ตำบลศรีดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โทร. 063-772-0565

 

อ้างอิง

https://www.dailynews.co.th/news/4672801/

 

บทความอื่น ที่น่าสนใจ

ศึกษาโมเดล ‘ถั่วเหลืองคาร์บอนต่ำ’ ผลผลิตพุ่ง 53% ยกระดับเกษตรไทยสู่ตลาด ESG โลก