การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง หรือ Formula 1 หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า F1 กำลังเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ จากการเป็นเพียงกีฬาความเร็วสูง สู่นวัตกรรมสีเขียวระดับโลก ด้วยเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2030 โดยยึดหลักสิ่งแวดล้อม (ESG) เป็นหัวใจสำคัญ ขณะที่ไทยเตรียมยื่นข้อเสนอเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขัน F1 หากสำเร็จจะสร้างรายได้จากท่องเที่ยวกว่า 7,000 ล้านบาท พร้อมผลักดันภาพลักษณ์ไทยสู่เวทีโลก
บทความนี้ จะพาไปดูการพลิดโฉมครั้งใหญ่ของ F1 ยุค ESG พร้อมเจาะลึกโอกาสทองของไทย และภาคธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากกระแสนี้ได้อย่างไร? แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เป็นเจ้าภาพ

F1 ไม่ใช่แค่กีฬา แต่เป็นต้นแบบนวัตกรรมรถยนต์ทั่วโลก
ปัจจุบัน กีฬาแข่งรถสูตรหนึ่ง หรือ “Formula 1” (F1) กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ F1 ไม่ได้เป็นเพียงกีฬาความเร็วสูงที่สร้างความตื่นเต้นเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งกำเนิดนวัตกรรมสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก นวัตกรรมที่ถูกพัฒนาในรถแข่ง F1 จะถูกนำไปประยุกต์ใช้กับรถยนต์ทั่วไปเมื่อเทคโนโลยีมีความเสถียร เช่น
- คาร์บอนไฟเบอร์ วัสดุน้ำหนักเบาที่ช่วยเพิ่มความเร็วและลดการใช้เชื้อเพลิง
- เครื่องยนต์ไฮบริด ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
ความพยายามด้าน ESG ของ F1 ยังส่งอิทธิพลไปยังวงการกีฬาและยานยนต์อื่นๆ เช่น Formula E ซึ่งเป็นการแข่งขันรถแข่งไฟฟ้าล้วนที่ได้รับการรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอนตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง แม้แต่นักแข่งชื่อดังอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก F1 7 สมัย ก็หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยการเลิกใช้เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว เปลี่ยนมาบริโภคมังสวิรัติ และหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า

Cr. ภาพ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ความจริงที่น่าตกใจ รถแข่งไม่ใช่ตัวปล่อยคาร์บอนหลัก
จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในปี 2022 กีฬา F1 ปล่อยคาร์บอนกว่า 2.23 แสนตัน ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยคาร์บอนจากประเทศเล็กๆ อย่าง วานูอาตู ตองก้า หรือโดมินิกา แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ รถแข่ง F1 ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า 1% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดจากกีฬานี้ โดยแหล่งปล่อยคาร์บอนหลักมาจาก
- การขนส่ง (49%)
- การเดินทางเพื่อธุรกิจ (29%)
- การจัดอีเวนท์ เช่น ขยะจากพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (12%)
- โรงงานและสิ่งอำนวยความสะดวก (10%)

6 กลยุทธ์พลิกโฉม F1 สู่กีฬาสีเขียว
FIA ผู้ดูแลการแข่งขัน F1 วางแผนพลิกโฉมการแข่งขันสู่ความยั่งยืนด้วย 6 กลยุทธ์สำคัญ:
- พัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ให้สร้างไฟฟ้าได้มากขึ้น จากเดิม 120 kW เป็น 350 kW ในปี 2026 ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะถูกถ่ายทอดไปยังรถยนต์ทั่วไปผ่านค่ายรถชื่อดัง เช่น Ferrari, Mercedes, Audi และ Honda
- ใช้พลังงานสะอาด 100% โดยไม่ลดสมรรถนะของรถแข่ง เช่น การใช้พลังงานจากขยะ
- ปรับเปลี่ยนการขนส่งด้วยพลังงานสะอาด ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลยุคที่ 2 และน้ำมันพืชไฮโดรทรีต (HVO) ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล
- ผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด จาก HVO และโซลาร์เซลล์ทดแทนพลังงานไฟฟ้าจากดีเซล
- จัดการขยะแบบหมุนเวียนครบวงจร ขยะทุกชิ้นจะถูกนำไปรีไซเคิล ทำปุ๋ยหมัก และใช้ซ้ำ
- ลดการปล่อยคาร์บอนจากการเดินทางของผู้ชม เพิ่มบริการขนส่งสาธารณะ สถานีชาร์จ EV และบริการจักรยานฟรี

ไทยลุ้นเจ้าภาพ F1 ดันเศรษฐกิจพุ่ง 7 พันล้าน
การที่ไทยยื่นข้อเสนอเป็นเจ้าภาพจัดแข่ง F1 ถือเป็นโอกาสสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล โดยการจัด F1 สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังช่วยเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยจากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย จะช่วยส่งเสริมประเทศ ดังนี้
-
- ดึงดูดผู้ชม 2-3 แสนคน
- กระตุ้น GDP 0.04% ต่อปี หรือ 0.4% ของรายได้จากการท่องเที่ยวไทย
- สร้างรายได้ราว 7 พันล้านบาทในช่วงสุดสัปดาห์แข่งขัน
- คืนทุนในระยะเวลา 3-4 ปี
เทียบเคียงได้กับประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพ F1 มาตั้งแต่ปี 2008 มีรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เข้าชม F1 ราว 143 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 3.6 พันล้านบาท) ต่อปี
อย่างไรก็ตาม การเป็นเจ้าภาพ F1 ต้องลงทุนสูง และอาจขาดทุนได้หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี เช่น:
- เกาหลีใต้เคยขาดทุนราว 1.2 พันล้านบาทในปี 2012 จนต้องถอนตัว
- อินเดียขาดทุนราว 800 ล้านบาทในปี 2013
- มาเลเซียยุติการเป็นเจ้าภาพในปี 2018 เนื่องจากจำนวนผู้ชมลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
การเป็นเจ้าภาพ F1 ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างมาก เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่รัฐบาลอุดหนุน 60% ของต้นทุนการลงทุน 3.8 พันล้านบาท และของค่าใช้จ่ายในการจัดต่อปี 3.4-3.5 พันล้านบาท

- โอกาสทองของธุรกิจไทยในยุค F1 สีเขียว
แม้ไทยจะไม่ได้เป็นเจ้าภาพ F1 ธุรกิจไทยยังได้ประโยชน์จากเทรนด์ ESG ของ F1 ในหลายด้าน:
ภาคการท่องเที่ยว
- โอกาสในการพัฒนาระบบนิเวศงานอีเวนต์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ
- การโปรโมทประเทศและธุรกิจไทยในระดับโลก
- ธุรกิจเกษตรและบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น
ภาคอุตสาหกรรม
- ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ได้แก่ แบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า สถานีชาร์จ
- การพัฒนาพลังงานยั่งยืน เช่น พลังงานน้ำ ลม และน้ำมันพืช
- การคัดแยกและจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงานสะอาด
- การพัฒนาระบบจัดการพลังงาน โดยเฉพาะการกักเก็บและขนส่งพลังงานไฟฟ้า
F1 จุดประกายอนาคตเศรษฐกิจสีเขียวของไทย
การเปลี่ยนแปลงของ F1 สู่ความยั่งยืนไม่เพียงแต่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับประเทศไทย แต่ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวและนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด การเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ จะช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมสีเขียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจไทยในอนาคต
อ้างอิง
https://spacebar.th/business/economic-business-thai-f1-esg-travel
https://www.thairath.co.th/money/sustainability/esg_strategy/2853705
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/F1-ESG-CIS3577-FB-2025-04-017.aspx
บทความอื่น ที่น่านใจ
วันนี้ที่รอคอย! BYD เปิดตัว ‘Super E-Platform’ ใหม่ 1,000V ชาร์จไวใน 5 นาที วิ่งได้ไกล 400 กม.
