แม้ต้นปี 2568 จะเริ่มต้นด้วยข่าวร้ายเมื่อมีรายงานว่าพะยูนไทยเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 13 ตัว แต่เหตุการณ์นี้กลับกลายเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่กระตุ้นให้ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ ชุมชน และสังคม หันมาให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากอย่างจริงจัง และอาจนำไปสู่การฟื้นฟูประชากรพะยูนในระยะยาวได้ในที่สุด
— สถิติที่สะท้อนวิกฤติ
จากข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พบว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 มีพะยูนเสียชีวิตแล้ว 13 ตัว โดยพบบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และระนอง โดยส่วนใหญ่คาดว่าเสียชีวิตจากการติดเครื่องมือประมง เช่น อวนจับปลา หรือถูกเรือชน
รายชื่อพื้นที่ที่พบพะยูนตาย เช่น
- เกาะหมากน้อย จ.พังงา
- หาดไม้ขาว และเกาะมะพร้าว จ.ภูเก็ต
- เกาะลิบง จ.ตรัง
- เกาะพยาม จ.ระนอง
- เกาะปู และอ่าวโล๊ะใหญ่ จ.กระบี่ เป็นต้น
— สถิติพะยูนไทยตายในปี 2568 รวม 13 ตัว
17 เม.ย. – หาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต
07 เม.ย. – จิ้งจก – แหลมทราย-บ้านคอเอน จ.ภูเก็ต
07 เม.ย. – เกาะพระทอง จ.พังงา
24 มี.ค. – แหลมปะการัง จ.พังงา
10 มี.ค. – อ่าวโล๊ะใหญ่ จ.กระบี่
09 มี.ค. – ลูกเด้ง – หาดท่าหลา จ.ภูเก็ต
06 มี.ค. – เกาะพยาม จ.ระนอง
05 มี.ค. – เกาะปู จ.กระบี่
13 ก.พ. – เกาะยาวใหญ่ จ.พังงา – ถูกชน
10 ก.พ. – เกาะลิบง จ.ตรัง
16 ม.ค. – เกาะมะพร้าว จ.ภูเก็ต
08 ม.ค. – เกาะนาคาใหญ่ จ.ภูเก็ต – ถูกชน
03 ม.ค. – เกาะลิบง จ.ตรัง

นอกจากตัวเลขในปี 2568 แล้ว หากย้อนดูสถิติย้อนหลัง พบว่าจำนวนพะยูนเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
| ปี | จำนวนพะยูนเสียชีวิต |
| 2548–2562 | 202 ตัว |
| 2563 | 16 ตัว |
| 2564 | 25 ตัว |
| 2565 | 19 ตัว |
| 2566 | 40 ตัว |
| 2567 | 48 ตัว |
| 2568* | 13 ตัว |
- *ข้อมูลถึงเดือนเมษายน 2568
— จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
แม้สถานการณ์จะดูน่าเป็นห่วง แต่หลายฝ่ายมองว่านี่คือ “โอกาสในการเริ่มต้นใหม่” ที่จุดประกายให้เกิดมาตรการอนุรักษ์ที่เข้มข้นและจริงจังมากขึ้น
1. การตื่นตัวของสังคมและสื่อ
ข่าวการตายของพะยูนที่ถูกรายงานอย่างต่อเนื่องบนสื่อหลักและโซเชียลมีเดีย ได้สร้างกระแสความห่วงใยในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักอนุรักษ์ และผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่เริ่มตระหนักถึงผลกระทบของมนุษย์ต่อระบบนิเวศทางทะเล และเริ่มเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์อย่างจริงจัง
2. การดำเนินมาตรการเชิงรุกจากภาครัฐ
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เร่งดำเนินมาตรการอนุรักษ์พะยูนในหลายพื้นที่ โดยมีแนวทางสำคัญ เช่น
- การทำเครื่องหมายเขตหญ้าทะเลที่เป็นแหล่งหากินของพะยูน เพื่อควบคุมไม่ให้เรือเข้าไปในพื้นที่
- กำหนดความเร็วเรือในพื้นที่เสี่ยง
- ใช้โดรนและการบินสำรวจเพื่อประเมินจำนวนประชากรและตรวจตราพื้นที่สำคัญ
- ฟื้นฟูระบบนิเวศ เช่น ปลูกหญ้าทะเล และกำจัดขยะในทะเล
3. ความร่วมมือจากชุมชนชายฝั่ง
ในหลายพื้นที่ ชาวบ้านและกลุ่มประมงพื้นบ้านเริ่มรวมตัวกันเพื่อช่วยปกป้องพะยูน เช่น
- จัดเวรยามเฝ้าระวังไม่ให้เรือรบกวนพะยูน
- รณรงค์ให้ใช้เครื่องมือประมงที่ปลอดภัย เช่น อวนที่ไม่ทำร้ายสัตว์ทะเล
- ให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนในชุมชนเรื่องการอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเล
- มีการรายงานการพบเห็นพะยูนแบบเรียลไทม์ เพื่อให้หน่วยงานเข้าดูแลได้อย่างทันท่วงที
4. การใช้เทคโนโลยีเสริมการอนุรักษ์
นอกจากโดรนและระบบติดตามทางอากาศแล้ว ยังมีการใช้เทคโนโลยีอื่น เช่น
- การติดแท็กดาวเทียมเพื่อติดตามพะยูนแบบเรียลไทม์
- ระบบฐานข้อมูลกลางสำหรับเก็บข้อมูลซากพะยูนและพฤติกรรม
- การศึกษาด้วย AI เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนที่ของพะยูนและคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า
— ความหวังใหม่ที่เริ่มชัดเจน
แม้พะยูนจะยังอยู่ในสถานะสัตว์ทะเลหายากที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2568 ได้ชี้ให้เห็นว่า การรวมพลังของภาครัฐ ภาคประชาชน และชุมชนท้องถิ่น สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกได้จริง
หากมาตรการเหล่านี้ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยการสนับสนุนทางวิชาการ เทคโนโลยี และนโยบายจากภาครัฐ พะยูนไทยอาจมีโอกาสกลับมาเพิ่มจำนวนได้อีกครั้ง และระบบนิเวศทางทะเลของเราก็จะกลับมามีความสมดุลอย่างยั่งยืนในระยะยาว
อ้างอิง :
Facebook : Theerasak Saksritawee
