สหรัฐอเมริกาเปิดศึกการค้าครั้งใหม่ ประกาศขึ้นภาษีโซลาร์เซลล์จากไทยในอัตราสูงถึง 375% โดยกล่าวหาว่าเป็นการนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด มาตรการดังกล่าว สะเทือนห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาดทั่วโลก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ไทย มูลค่าการส่งออกเฉียด 1 แสนล้านบาทต่อปี

มาตรการสุดโหด เล็งเป้าจีนผ่านอาเซียน
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ประกาศผลการสอบสวนเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า บริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนที่สหรัฐฯ ใช้กับจีน โดยนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนมาประกอบและส่งออกไปยังสหรัฐฯ
มาตรการที่ประกาศใช้มีความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 375% ขณะที่ประเทศอื่นในอาเซียนมีอัตราสูงสุดถึง 3,521% ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระดับความร่วมมือกับการสอบสวนและพยานหลักฐานที่พบ
ผลกระทบต่อไทย สูญเสียตลาดส่งออกมูลค่าเฉียด 1 แสนล้าน
จากสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยตามพิกัดศุลกากร พบว่า ประเทศไทยส่งออกโซลาร์เซลล์ไปสหรัฐเป็นอันดับ 1 ถึง 94.69% โดยปี 2565 มีมูลค่า 46,239,284,805 ล้านบาท, ปี 2566 มูลค่า 111,962,983,770 ล้านบาท, ปี 2567 มูลค่า 85,020,886,329 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ระหว่างเดือนม.ค.-ก.พ. 2568 มูลค่า 7,645,935,190 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บลูมเบิร์ก รายงานเมื่อวันที่ 22 เม.ย.68 ว่า สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์จากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 ประเทศ ซึ่งร่วมกันส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ไปยังสหรัฐเป็นส่วนใหญ่
การตัดสินใจดังกล่าวเป็นผลจากการสืบสวนการค้าที่กินเวลานาน 1 ปี ซึ่งพบว่าผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนของรัฐบาลอย่างไม่เป็นธรรม และกำลังขายสินค้าส่งออกของตนไปยังสหรัฐ ในอัตราที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต การสืบสวนนี้ดำเนินการโดยผู้ผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ในประเทศ
สำหรับการขึ้นภาษีในอัตราสูงถึง 375% มีผลทำให้ราคาสินค้าไทยในตลาดสหรัฐสูงขึ้นกว่า 4 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ทำให้แข่งขันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง หากคำนวณจากมูลค่าการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ไปสหรัฐฯ ที่เฉียดแสนล้านบาทต่อปี อุตสาหกรรมไทยอาจสูญเสียรายได้กว่า 90,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 90% ของตลาดเดิม
นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในอุตสาหกรรม ซึ่งมีการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมกว่า 15,000 ตำแหน่ง โดยคาดว่าอาจมีการเลิกจ้างพนักงานถึง 7,000-8,000 คน หากไม่สามารถหาตลาดทดแทนได้

ผลกระทบต่อสหรัฐฯ เป้าหมายพลังงานสะอาดสะดุด
ขณะที่สหรัฐฯ มุ่งประกาศมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่ผลกระทบอาจย้อนกลับมาทำร้ายเป้าหมายพลังงานสะอาดของรัฐบาลทรัมป์เอง เนื่องจากราคาแผงโซลาร์เซลล์ในตลาดสหรัฐฯ คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น 15-25% ในระยะสั้น
สมาคมอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์สหรัฐฯ (SEIA) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลว่า มาตรการนี้จะทำให้ต้นทุนการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สำหรับบ้านเรือนและธุรกิจสูงขึ้นกว่า 20% ซึ่งจะชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และอาจส่งผลให้สหรัฐฯ ไม่บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามที่ตั้งไว้

ห่วงโซ่อุปทานโลกปรับตัวครั้งใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานคาดการณ์ว่า มาตรการดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานครั้งใหญ่ โดยผู้ผลิตไทยอาจต้องพิจารณาทางเลือกหลายประการ
- การหาตลาดใหม่ – ผู้ส่งออกไทยต้องเร่งหาตลาดทดแทน โดยเฉพาะในยุโรป อาเซียน และตะวันออกกลาง ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง แต่การแข่งขันก็เข้มข้นขึ้นเช่นกัน
- การย้ายฐานการผลิต – บริษัทขนาดใหญ่อาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ไม่ถูกเก็บภาษี หรือจัดตั้งโรงงานในสหรัฐฯ เอง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 1,000-2,000 ล้านบาทต่อโรงงาน และใช้เวลาอย่างน้อย 18-24 เดือน
- การปรับเปลี่ยนซัพพลายเออร์ – ผู้ผลิตอาจต้องหาซัพพลายเออร์วัตถุดิบและชิ้นส่วนจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่จีน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาการหลบเลี่ยงภาษี แต่อาจส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น 15-30%

แนวทางรับมือของไทย
รัฐบาลไทยและสมาคมผู้ผลิตโซลาร์เซลล์กำลังดำเนินการหลายด้านเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้:
- เตรียมยื่นอุทธรณ์และนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก (WTO)
- จัดสรรงบประมาณสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ วงเงินราว 1,000 ล้านบาท
- เจรจาทวิภาคีกับสหรัฐฯ เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการในระยะเปลี่ยนผ่าน
- ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและนวัตกรรมเพื่อลดการพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีน
นักวิเคราะห์มองว่า มาตรการภาษีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “อเมริกามาก่อน” ของประธานาธิบดีทรัมป์ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าโลกในวงกว้าง
ด้านนายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กรณีที่สหรัฐปรับภาษีโซลาร์เซลเพื่อต่อต้านการใช้เป็นฐานการผลิต ซึ่งประเทศไทยก็โดนด้วยนั้น ถือว่ากระทบแน่นอนเพื่อขึ้นเยอะมาก ซึ่งจริงๆ แล้วโรงงานผู้ผลิตเป็นของไทยส่วนใหญ่เป็นโรงงานจีนที่มาผลิตในไทยแทบจะ 100% ที่ย้ายฐานการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ดำลังดูว่ามีบริษัทที่เป็นของไทยมีกี่บริษัท และต้องดูเพิ่มว่าในแต่ละบริษัทมีส่งออกไปสหรัฐมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่ดู บริษัทโดยคนไทยกำลังการผลิตเองก็ไม่เพียงพอต่อการส่งออกแล้ว

“สหรัฐรู้ว่าแผงโซลาร์ผลิตโดยจีนเป็นหลัก อาจเป็นประเด็นกัน โดยรอบ ทรัมป์ 1.0 โฟกัสที่จีน รอบนี้มุ่งเน้นทั้งจีนและประเทศพันธมิตรกับจีน ดังนั้น การส่งเสริมการลงทุนของไทยควรจะส่งเสริมลักษณะสินค้าที่ไทยไม่สามารถผลิตได้จะได้ประโยชน์ด้านทรานฟอร์ม ความรู้แลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมเหล็กเส้น ซึ่งเรามีอยู่โรงงานอยู่แล้ว ทำให้มาแย่งตลาด อีกทั้งวัตถุดิบก็ไม่ได้ใช้ในประเทศไทย จึงต้องกลับมาทบทวนเรื่องนี้ และคำนึงผู้ประกอบการไทยเป็นหลักด้วย”
ท่ามกลางความท้าทายนี้ อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ไทยจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ พร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดโลกที่นับวันจะทวีความรุนแรงในยุคที่สงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์เข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการค้าระหว่างประเทศ
อ้างอิง
https://mgronline.com/around/detail/9680000037864
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1177064
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
