วิเคราะห์ความเป็นไปได้! เมื่อไทย ตั้งเป้า ฮับรถยนต์ EV แต่ไม่มีมาตรการจัดการซากแบตเตอรี่

วิเคราะห์ความเป็นไปได้! เมื่อไทย ตั้งเป้า ฮับรถยนต์ EV แต่ไม่มีมาตรการจัดการซากแบตเตอรี่

ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเร่งเดินหน้าสู่ ฮับรถยนต์ EV หรือการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาค ประเด็นที่ถูกมองข้ามแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือ การจัดการซากแบตเตอรี่เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าหมดอายุการใช้งาน บทความนี้จะพาไปสำรวจถึงสถานการณ์ปัจจุบัน วิธีการจัดการ กรณีศึกษาจากต่างประเทศ และข้อเสนอแนะเพื่อรับมือกับความท้าทายสำคัญนี้

 

 

 

สถานการณ์ปัจจุบันอุตสาหกรรม EV ในไทย

 

ประเทศไทยวางเป้าหมายชัดเจนในการเป็น ฮับ รถยนต์ EV หรือ ฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก โดยตั้งเป้าให้การผลิตรถยนต์ในประเทศเป็นรถ EV 30% ภายในปี 2030 ขณะนี้มีการลงทุนจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำหลายราย ทั้งจากจีน ญี่ปุ่น และยุโรป

 

มาตรการส่งเสริมที่สำคัญ ได้แก่

 

  • การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรม EV
  • การลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า
  • การสนับสนุนการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าทั่วประเทศ
  • เงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

 

ช่องว่างในนโยบาย การจัดการซากแบตเตอรี่

 

แม้จะมีความก้าวหน้าในการส่งเสริมการผลิตและใช้งาน EV แต่ยังขาดมาตรการรองรับการจัดการซากแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคตอันใกล้ เมื่อแบตเตอรี่รถ EV รุ่นแรก ๆ เริ่มหมดอายุการใช้งาน

แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าประกอบด้วยวัสดุมีค่าและเป็นอันตราย เช่น ลิเธียม โคบอลต์ นิกเกิล และแมงกานีส การกำจัดอย่างไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่

  • การปนเปื้อนของสารพิษในดินและน้ำ
  • การสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
  • ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้น ลดผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของการเปลี่ยนไปใช้ EV

 

ความสำคัญของการจัดการซากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

 

แบตเตอรี่เป็นองค์ประกอบสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า และเมื่อถึงจุดที่หมดอายุการใช้งาน การจัดการอย่างรับผิดชอบจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แบตเตอรี่เหล่านี้ประกอบด้วยโลหะหายากและสารเคมีที่เป็นอันตราย หากถูกทิ้งปะปนกับขยะทั่วไป อาจก่อให้เกิดมลพิษทางดินและน้ำได้

การบริหารจัดการซากแบตเตอรี่ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างโอกาสในการนำทรัพยากรมีค่ากลับมาใช้ใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

 

วิธีการจัดการซากแบตเตอรี่รถ EV

 

ปัจจุบันมีวิธีการจัดการกับแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน 4 วิธีหลัก ดังนี้

  1. การเผาและนำเข้าสู่กระบวนการสารละลาย

วิธีนี้มุ่งเน้นการสกัดแร่หายากออกมาจากแบตเตอรี่ แต่มีข้อเสียคือต้องใช้เงินลงทุนสูง สิ้นเปลืองพลังงาน และอาจก่อให้เกิดผลกระทบภายนอกค่อนข้างมาก

  1. การสกัดด้วยสารละลาย (Hydrometallurgy)

กระบวนการนี้ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าวิธีแรก แต่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงและต้องดำเนินการในปริมาณมาก จึงจะคุ้มค่าในเชิงธุรกิจ

  1. การรีไซเคิลโดยตรง (Direct Recycle)

เป็นการถอดรื้อแบตเตอรี่เพื่อนำชิ้นส่วนที่ยังใช้งานได้กลับมาใช้ใหม่ วิธีนี้มีต้นทุนต่ำกว่าสองวิธีแรก และเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า

  1. การนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ใหม่ (Repurposing)

วิธีนี้เป็นการนำแบตเตอรี่ที่ความจุลดลงแต่ยังไม่หมดสภาพโดยสิ้นเชิงไปใช้ในงานอื่นๆ เช่น ระบบกักเก็บพลังงานสำหรับบ้านหรืออาคาร ซึ่งมีต้นทุนต่ำที่สุดและเป็นการใช้ประโยชน์สูงสุดก่อนเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล

 

 

กรณีศึกษาจากต่างประเทศ

 

สหภาพยุโรป แนวทางการจัดการซากแบตเตอรี่

 

ในยุโรปมีกิจการที่เกี่ยวข้องกับ Second-Life Batteries หรือการนำแบตเตอรี่กลับมาใช้ใหม่กว่า 76 ราย กระจายอยู่ในหลายประเทศ การดำเนินธุรกิจดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ ได้แก่

  1. ต้องมีศูนย์รวบรวมแบตเตอรี่
  2. ต้องมีระบบขนส่งที่เหมาะสม เนื่องจากแบตเตอรี่จัดเป็นวัตถุอันตราย
  3. ต้องมีวิธีการตรวจสอบคุณภาพเพื่อประเมินศักยภาพในการนำไปใช้ต่อ
  4. ต้องมีระบบแยกชิ้นส่วนที่ถูกต้องและปลอดภัย
  5. ต้องมีการนำไปใช้อย่างเหมาะสมตามคุณสมบัติที่เหลืออยู่

 

ข้อมูลในปี 2566 ระบุว่า ยุโรปมีกำลังการรีไซเคิลแบตเตอรี่ทั้งหมดประมาณ 1.5 แสนตันต่อปี หรือคิดเป็นแบตเตอรี่จากรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 3 แสนคัน นอกจากนี้ ล่าสุดยุโรปได้ปรับปรุงกฎหมาย กำหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าตลอดวงจรชีวิต โดยกฎหมายนี้จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2568

 

ญี่ปุ่น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

 

ญี่ปุ่นมีระบบการจัดการซากรถยนต์อย่างเป็นระบบมาเป็นเวลานาน โดยอาศัยกฎหมายการรีไซเคิลรถยนต์และความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับรัฐบาล ในการจัดตั้งเครือข่ายการรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว

เครือข่ายนี้ประกอบด้วยผู้มีส่วนได้เสียหลายกลุ่ม เช่น ผู้ผลิตแบตเตอรี่ ผู้ผลิตรถยนต์ และบริษัทรีไซเคิล ทำงานร่วมกันเพื่อให้มั่นใจว่าแบตเตอรี่จะถูกนำไปรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย

 

 

ประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายจัดการซากแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า

 

ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับการจัดการซากรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ทำให้การดำเนินการอย่างเป็นระบบเกิดขึ้นได้ยาก การขาดกฎหมายที่ชัดเจนเช่นในสหภาพยุโรปหรือญี่ปุ่น ส่งผลให้ไทยขาดกลไกเชิงสถาบันที่จะสร้างความรับผิดชอบตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดการซาก

ในปัจจุบัน การจัดการซากรถยนต์ในไทยเป็นไปตามกลไกตลาดและภายใต้กฎระเบียบที่มีอยู่ ซึ่งยังไม่เพียงพอ และก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น

  • มลภาวะจากการจัดการซากรถยนต์ที่ไม่เหมาะสม
  • ปัญหาด้านความปลอดภัยจากอะไหล่รถยนต์เก่าที่ไม่มีมาตรฐาน
  • ปัญหาการ “ย้อมแมว” ในตลาดรถยนต์ใช้แล้ว

สำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินการถอดรื้อซากรถยนต์ในปัจจุบัน มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เข้าข่ายเป็นโรงงานภายใต้พระราชบัญญัติโรงงานอุตสาหกรรม ประเภท 101, 105 และ 106 แต่มีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลดังกล่าว ส่งผลให้การจัดการซากที่มีสารอันตรายเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง เพราะผู้ประกอบการมักจะสนใจเฉพาะชิ้นส่วนที่มีมูลค่าเท่านั้น ส่วนสารอันตรายมักถูกทิ้งจนกลายเป็นภาระของรัฐบาลท้องถิ่น ประชาชน และส่งผลกระทบต่อดินและน้ำ

 

บทวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของไทย

 

ความท้าทาย

  1. ขาดกรอบกฎหมายเฉพาะ ปัจจุบันไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับการจัดการซากแบตเตอรี่ EV ทำให้ขาดแนวทางที่ชัดเจน
  2. โครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะและการลงทุนสูง ซึ่งยังไม่พร้อมในประเทศไทย
  3. การขาดแคลนความเชี่ยวชาญ บุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการจัดการซากแบตเตอรี่ EV ยังมีจำกัด
  4. ปริมาณที่ยังไม่มากพอ ในปัจจุบัน จำนวนซากแบตเตอรี่ EV ยังไม่มากพอที่จะสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้เกิดธุรกิจรีไซเคิล

โอกาส

  1. การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน การวางระบบจัดการซากแบตเตอรี่ที่ดีสามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่และสร้างงาน
  2. ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบ การรีไซเคิลสามารถนำโลหะมีค่ากลับมาใช้ใหม่ ลดการพึ่งพิงการนำเข้า
  3. สร้างความยั่งยืนให้อุตสาหกรรม ระบบจัดการซากที่มีประสิทธิภาพจะเสริมภาพลักษณ์ของไทยในฐานะฮับ EV ที่ยั่งยืน
  4. ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ป้องกันปัญหามลพิษที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

 

 

แนวทางการแก้ไขปัญหา

  1. พัฒนากรอบกฎหมายเฉพาะ ออกกฎหมายที่กำหนดความรับผิดชอบของผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ในการจัดการซากแบตเตอรี่
  2. สร้างระบบความรับผิดชอบแบบขยายของผู้ผลิต (EPR) กำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้ามีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ตลอดวงจรชีวิต
  3. ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา สนับสนุนการวิจัยเทคโนโลยีการรีไซเคิลและการใช้ประโยชน์จากแบตเตอรี่ที่หมดอายุ
  4. สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา พัฒนาโครงการนำร่องและสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน
  5. พิจารณาการใช้งานหลังหมดอายุ (Second-life applications) ส่งเสริมการนำแบตเตอรี่ที่ความจุลดลงแล้วแต่ยังใช้งานได้ไปใช้ในงานที่ต้องการพลังงานน้อยลง เช่น ระบบกักเก็บพลังงานสำหรับพลังงานหมุนเวียน

 

 

การที่ประเทศไทยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแต่ยังขาดมาตรการจัดการซากแบตเตอรี่อย่างเป็นรูปธรรม เป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน หากไม่มีการวางแผนรองรับที่ดี ไทยอาจต้องเผชิญกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ในอนาคต ซึ่งจะลดทอนประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

 

การพัฒนานโยบายและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการจัดการซากแบตเตอรี่ควบคู่ไปกับการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV จะช่วยให้ไทยสามารถเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างยั่งยืนและครบวงจร นำไปสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์สะอาดที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

 

 

อ้างอิง

https://policywatch.thaipbs.or.th/article/environment-48

https://www.prachachat.net/economy/news-1601685

https://www.springnews.co.th/keep-the-world/energy/854289?fbclid=IwY2xjawJvDH9leHRuA2FlbQIxMAABHgOngO21aBcIH50dVOzPcdiCA2merrWZRdGnPRyK4bAlnipcKwtAyTZ7L30E_aem_aAg7UeS0DnwbPuVQ8Fd8ZQ

 

บทความอื่น ที่น่าสนใจ

จากขยะสร้างมลพิษ! สู่โอกาสธุรกิจใหม่ ‘รีไซเคิลแบตเตอรี่ EV’ สร้างรายได้ ลดโลกร้อน