จีนขึ้นชื่อเรื่องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติและเดินหน้าสู่การปลดปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ให้เร็วที่สุด ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกด้านพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ หนึ่งในโครงการที่โดดเด่นคือการเปลี่ยนที่ดินที่เคยถูกมองว่าไร้ค่ากว่า 1,000 ไร่ ให้กลายเป็นแหล่งผลิต“โซลาร์ฟาร์ม” พลังงานสะอาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น กว่า 400 หมู่บ้านทั่วประเทศได้รับประโยชน์จากการพัฒนานี้ บทความนี้จะเจาะลึกถึงโมเดลความสำเร็จดังกล่าว

จากพื้นที่แห้งแล้งสู่พลังงานสะอาด
ในมณฑลชานซี เหอเป่ย์ และกานซู่ ซึ่งมีพื้นที่แห้งแล้งและทะเลทรายเป็นจำนวนมาก รัฐบาลจีนร่วมกับบริษัทพลังงานได้ริเริ่มโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่บนที่ดินซึ่งไม่เหมาะกับการเพาะปลูก พื้นที่เหล่านี้ซึ่งเคยถูกมองว่าไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าในยุคที่ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
“เราเรียกมันว่า ‘การเก็บเกี่ยวแสงอาทิตย์’ ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่เรามีอยู่” หลี่ เจียงหมิง ผู้อำนวยการโครงการพลังงานแสงอาทิตย์มณฑลกานซู่กล่าว “พื้นที่ที่เคยถูกละทิ้งกลายเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง”

รูปแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน
โมเดลการพัฒนาโซลาร์ฟาร์มของจีนมีองค์ประกอบสำคัญหลายประการ:
- การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน
รัฐบาลจีนสนับสนุนเงินทุนส่วนหนึ่งผ่านนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาด ขณะที่บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง State Grid, China Energy Investment Corporation และ JinkoSolar เป็นผู้ลงทุนหลัก ทำให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว
- การมีส่วนร่วมของชุมชน
ชาวบ้านในพื้นที่ไม่เพียงให้เช่าที่ดินเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและการบำรุงรักษาโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งสร้างงานและรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น
โครงการในเมืองเหยียนอัน มณฑลชานซี เช่น มีการจ้างงานชาวบ้านกว่า 2,000 คนเพื่อทำหน้าที่ดูแลความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์และบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า
- การบูรณาการกับการเกษตร
หนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญคือการพัฒนา “โซลาร์ฟาร์มแบบผสมผสาน” หรือ “Agrivoltaics” ซึ่งติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในระดับความสูงที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปลูกพืชที่ทนร่มได้ใต้แผง ช่วยเพิ่มรายได้และใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในมณฑลเหอเป่ย์ โครงการ “โซลาร์+ เกษตร” สามารถปลูกเห็ด สมุนไพรจีน และพืชทนร่มบางชนิดได้ เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอีก 30-50% เมื่อเทียบกับการปล่อยเช่าที่ดินเพียงอย่างเดียว

Cr. ภาพ WWW.NEWS.CN
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม
ปัจจุบัน โซลาร์ฟาร์มกระจายอยู่ในกว่า 400 หมู่บ้านทั่วจีน สร้างผลกระทบเชิงบวกในหลายด้าน
- การสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
ชาวบ้านได้รับรายได้จากค่าเช่าที่ดิน ค่าจ้างแรงงาน และในบางกรณี ได้รับส่วนแบ่งจากการขายไฟฟ้า เฉลี่ยแล้วรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น 30-60% ขึ้นอยู่กับรูปแบบการมีส่วนร่วมในโครงการ
หมู่บ้านเสินหยาง ในมณฑลกานซู่ รายงานว่ารายได้เฉลี่ยของชาวบ้านเพิ่มขึ้นจาก 5,000 หยวนต่อปีเป็น 15,000 หยวนต่อปี (ประมาณ 75,000 บาท) หลังจากมีการติดตั้งโซลาร์ฟาร์มขนาด 50 เมกะวัตต์
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโซลาร์ฟาร์มถูกนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้าน เช่น ถนน ระบบประปา และการศึกษา
“ก่อนหน้านี้พวกเราต้องเดินทางไกลเพื่อไปโรงเรียนในเมือง แต่ตอนนี้หมู่บ้านของเรามีโรงเรียนที่ทันสมัย มีคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ดี” เจ้าหลิง ชาวบ้านจากหมู่บ้านในมณฑลชานซีกล่าว
- การแก้ไขปัญหาความยากจน
โซลาร์ฟาร์มเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “การขจัดความยากจนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์” ของรัฐบาลจีน ที่มุ่งเน้นช่วยเหลือพื้นที่ห่างไกลและยากจน
จากข้อมูลของคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนกว่า 2 ล้านคนใน 5 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ฟาร์มโซลาร์เซล ที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลมากถึง 210,000 แผง เดิมเคยเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ขนาด 1,100 ไร่ ในอำเภอลั่วหนาน มณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ถูกพลิกโฉมเป็นที่ตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และกลายเป็นฐานพลังงานแห่งใหม่
พลังงานที่ผลิตจากฐานโซลาร์เซลล์แห่งนี้ จะถูกส่งต่อไปยังพื้นที่เพาะปลูกบริเวณใกล้เคียง รวมถึงบรรดาบ้านเรือนในท้องถิ่น ให้มีกระแสไฟฟ้าใช้จากพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
ฟาร์มโซลาร์เซลล์ แห่งนี้ผลิตไฟฟ้ามากกว่า 220 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงแล้ว นับตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งานเมื่อ 1 ปีก่อน ซึ่งสร้างงานให้ชาวบ้าน 1,500 คน และช่วยพวกเขาเพิ่มพูนรายได้ 3,000 หยวน หรือ ราว 15,000 บาท ต่อปี
กลายเป็นการใช้ประโยชน์จากผืนดินรกร้าง ให้สร้างมูลค่า สร้างรายได้ให้คนในท้องถิ่น แถมประหยัดรายจ่ายค่าไฟในยุคพลังงานหายากด้วย

Cr. ภาพ WWW.NEWS.CN
ความท้าทายและการพัฒนาในอนาคต
แม้โครงการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จ แต่โมเดลดังกล่าวยังมีความท้าทายหลายประการ
- ต้นทุนการบำรุงรักษา แผงโซลาร์เซลล์ต้องการการทำความสะอาดสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในพื้นที่แห้งแล้งที่มีฝุ่นมาก
- ความเสถียรของระบบไฟฟ้า การส่งไฟฟ้าจากพื้นที่ห่างไกลเข้าสู่ระบบยังต้องการการพัฒนาโครงข่ายสมาร์ทกริด
- การจัดการเมื่อหมดอายุการใช้งาน แผงโซลาร์เซลล์มีอายุการใช้งานประมาณ 25-30 ปี จึงต้องมีแผนรองรับการรีไซเคิลในอนาคต
อย่างไรก็ตาม จีนได้วางแผนขยายโครงการออกไปอีกกว่า 1,000 หมู่บ้านภายในปี 2030 พร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานและสมาร์ทกริดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ

Cr. ภาพ : www.adb.org
บทเรียนสำหรับประเทศไทย
โมเดลความสำเร็จของจีนสามารถประยุกต์ใช้กับประเทศไทยได้ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีพื้นที่แห้งแล้งและได้รับแสงแดดเข้มตลอดทั้งปี หรือพื้นที่ดินเค็มที่ไม่เหมาะกับการเกษตร
การพัฒนาโซลาร์ฟาร์มควบคู่กับการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ไม่เพียงช่วยเพิ่มการผลิตพลังงานสะอาด แต่ยังสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้อย่างยั่งยืน
ความสำเร็จของจีนในการเปลี่ยนพื้นที่ไร้ค่าให้กลายเป็นโซลาร์ฟาร์มที่สร้างรายได้ให้กับกว่า 400 หมู่บ้าน ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของพลังงานแสงอาทิตย์ในการพัฒนาชนบท แต่ยังเป็นแบบอย่างของการบูรณาการนโยบายด้านพลังงานสะอาด การพัฒนาชนบท และการลดความยากจนเข้าด้วยกัน
โมเดลนี้แสดงให้เห็นว่า การลงทุนในพลังงานทดแทนไม่เพียงมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับรากหญ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการวางแผนและการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างเหมาะสม
อ้างอิง
https://www.springnews.co.th/program/keep-the-world/832934
https://www.sanook.com/news/7570050/
https://www.blockdit.com/posts/5c0d99ea2649ab72f495fa88
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
สร้างมาตรฐานใหม่ให้โลกพลังงาน! จีนผลิต “พลังงานสะอาด”แซงหน้า “ถ่านหิน” บรรลุเป้าหมายก่อนกำหนด 6 ปี
โลกเขียวขึ้น! เมื่อทั่วโลกใช้ ‘พลังงานสะอาด’ ทะลุ 40% โซลาร์เซลล์มาแรงสุด จีนครองอันดับ 1
