อียู (สหภาพยุโรป) เลื่อนการกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปี 2040 ออกไปจากกำหนดเดิมในไตรมาสแรก เนื่องจากแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมและปัจจัยทางการเมืองบางส่วน
สหภาพยุโรป (EU) กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ตามเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ แม้ว่าจะมีเป้าหมายระยะกลางที่ต้องลดการปล่อยก๊าซลง 55% ภายในปี 2030 แต่แผนระยะถัดไปสำหรับปี 2040 กลับถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมและปัจจัยทางการเมือง ทำให้การตัดสินใจของคณะกรรมาธิการยุโรปล่าช้า
ขณะที่แผนลดก๊าซเรือนกระจกกำลังหยุดชะงัก ยุโรปเองกลับต้องเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทวีปยุโรปมีอัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเร็วที่สุดในโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดคลื่นความร้อน น้ำท่วม และภัยแล้งครั้งใหญ่ นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลโดยตรงจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากมนุษย์ ซึ่งทำให้ความล่าช้าในการกำหนดเป้าหมายปี 2040 ยิ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวลมากขึ้น
การเลื่อนเป้าหมายด้านสภาพอากาศของสหภาพยุโรป
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศเลื่อนการเปิดตัวเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปี 2040 ออกไปจากกำหนดเดิมในไตรมาสแรกของปีนี้ การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นจากปัจจัยทางการเมืองและแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้แผนการลดการปล่อยมลพิษในอนาคตของสหภาพยุโรปต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว จากเป้าหมายที่เคยตั้งไว้
สหภาพยุโรปมีเป้าหมายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่:
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 55% ภายในปี 2030 (เทียบกับระดับปี 1990)
- บรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
- กำหนดเป้าหมายใหม่สำหรับปี 2040 ซึ่งเดิมเสนอให้ลดการปล่อยก๊าซลงถึง 90%
คณะกรรมาธิการยุโรปยังไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่ชัดสำหรับการเสนอเป้าหมายด้านสภาพอากาศปี 2040 แต่ยืนยันว่าจะไม่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้
สาเหตุของความล่าช้า
แม้แผนการกำหนดเป้าหมายปี 2040 จะถูกวางแผนมานาน แต่ข้อเสนอนี้กลับเผชิญกับการคัดค้านอย่างหนักจากบางประเทศสมาชิกและสมาชิกรัฐสภายุโรป เนื่องจากข้อกังวลด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่มองว่ากฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่กำลังเผชิญปัญหาต้นทุนพลังงานที่สูงและอุปสงค์ที่ลดลง อาทิ
- แรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรม – ภาคธุรกิจโต้แย้งว่ากฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะต้นทุนพลังงานที่สูงและความต้องการที่ลดลง
- ความขัดแย้งทางการเมือง – บางประเทศสมาชิกและสมาชิกรัฐสภายุโรปไม่เห็นด้วยกับเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซ 90% ภายในปี 2040
- ใกล้การ(พฤษภาคม 2025) – ทำให้หลายฝ่ายลังเลที่จะเริ่มการเจรจาเกี่ยวกับเป้าหมายที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศที่ยังพึ่งพาถ่านหิน
แรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมและปัจจัยทางการเมือง
- ผู้ผลิตรถยนต์และภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ กดดันให้มีการผ่อนปรนกฎการลดการปล่อย CO2
- บางประเทศ โดยเฉพาะโปแลนด์ ที่ต้องพึ่งพาถ่านหินเป็นพลังงานหลัก ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนของการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีโปแลนด์ในเดือนพฤษภาคมอาจทำให้การเจรจาทางการเมืองเกี่ยวกับเป้าหมายด้านสภาพอากาศชะลอตัวลง
ผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพอากาศของโลก
การเลื่อนกำหนดเป้าหมายปี 2040 ส่งผลให้สหภาพยุโรปพลาดกำหนดเส้นตายในการส่งแผนสภาพภูมิอากาศปี 2035 ให้กับสหประชาชาติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจลดความน่าเชื่อถือของยุโรปในฐานะผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ยุโรปเป็นทวีปที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเร็วที่สุดในโลก และได้เผชิญกับเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงมากขึ้น เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และภัยแล้ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าเป็นผลโดยตรงจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากมนุษย์
แม้จะมีความล่าช้าและแรงกดดันจากหลายฝ่าย แต่สหภาพยุโรปยังคงยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 อย่างไรก็ตาม การถกเถียงเรื่องเป้าหมายปี 2040 ยังคงดำเนินต่อไป และต้องจับตาดูว่าสหภาพยุโรปจะสามารถหาทางออกที่สมดุลระหว่างเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและข้อจำกัดทางเศรษฐกิจได้หรือไม่
เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ :
“INCI.” ฟื้นชีวิตไหมพรม สร้างสรรค์แฟชั่นยั่งยืน เติบโตอย่างใส่ใจโลก
อ้างอิง :
EU delays 2040 climate target proposal beyond Q1