ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การปฏิวัติการผลิตข้าวข้าวคาร์บอนต่ำ ด้วยเทคนิค “ทำนาเปียกสลับแห้ง” ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ริเริ่มโครงการนี้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกในสินค้าคาร์บอนต่ำและแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน พร้อม ก้าวสู่อนาคตการทำเกษตรที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นสำหรับอนาคต
ภาคการเกษตรไทยเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับ 2 ของประเทศ รองจากภาคพลังงาน โดยการปลูกข้าวเพียงอย่างเดียวก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 40% ของภาคเกษตรทั้งหมด เมื่อพิจารณาว่าประเทศไทยมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกว่า 4.9 ล้านครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่นาปีและนาปรังรวมกว่า 70 ล้านไร่ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งประเทศ การปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตข้าว ด้วยเทคนิค “ทำนาเปียกสลับแห้ง” จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เทคนิคนาเปียกสลับแห้ง นวัตกรรมเพื่อโลกสีเขียว
เทคนิคการทำนาเปียกสลับแห้งเป็นการจัดการน้ำในแปลงนาให้มีทั้งสภาพเปียกและแห้งที่เหมาะสมกับความต้องการของข้าวในแต่ละช่วงการเจริญเติบโต โดยปล่อยให้น้ำแห้งตามธรรมชาติในบางช่วง ซึ่งช่วยให้ดินระบายน้ำและอากาศได้ดีขึ้น ส่งผลให้ระบบรากและลำต้นข้าวแข็งแรง
ข้อดีของเทคนิคนี้ คือ
• ลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้มากถึงร้อยละ 30
• เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ
• ลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
• สร้างโอกาสทางการตลาดสำหรับข้าวพรีเมียมคาร์บอนต่ำ
• เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
ปัจจุบัน กรมการข้าวได้ทดลองโครงการนี้กับสมาชิกศูนย์ข้าวชุมชนใน 22 จังหวัด มีเกษตรกรเข้าร่วมประมาณ 3,300 คน และสามารถผลิตข้าวคาร์บอนต่ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้แล้ว 10 ล้านไร่
การแก้ปัญหาการเผาตอซังด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ
นอกจากการปรับเปลี่ยนวิธีการทำนาแล้ว อีกปัญหาสำคัญคือการกำจัดฟางและตอซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งเกษตรกรมักใช้วิธีเผา ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่น PM2.5
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้พัฒนาจุลินทรีย์ “BioD I วว.” ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายตอซังข้าว มาใช้ทดแทนการเผา ซึ่งนอกจากจะช่วยลดมลพิษทางอากาศแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อดินดังนี้
• เพิ่มอินทรียวัตถุและธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของข้าว
• ปรับปรุงโครงสร้างดิน
• เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
• ลดการปล่อยก๊าซมีเทนระหว่างกระบวนการย่อยสลาย
ก้าวสู่อนาคตการเกษตรคาร์บอนต่ำ
การพัฒนาการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ นอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การผสมผสานระหว่างเทคนิคการทำนาเปียกสลับแห้ง การใช้ปุ๋ยไนโตรเจนอย่างเหมาะสม และการใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังแทนการเผา จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรักษาสถานะการเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก พร้อมกับรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ประโยชน์จากการทำนาเปียกสลับแห้ง
การทำนาเปียกสลับแห้งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์หลากหลายด้านที่ส่งผลดีต่อเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม ผลการวิจัยจากกรมการข้าวพบว่า เทคนิคนี้สามารถประหยัดน้ำได้ถึงร้อยละ 30-50 ขึ้นอยู่กับชนิดของดินและสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่
ประหยัดทรัพยากรและลดต้นทุน
การทำนาแบบปกติที่ชาวนานิยมให้น้ำขังตลอดฤดูปลูกต้องใช้น้ำประมาณ 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ต่อฤดู แต่ด้วยเทคนิคเปียกสลับแห้ง เกษตรกรสามารถ:
• ประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้สูบน้ำได้ร้อยละ 30
• ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูข้าว
• ประหยัดเวลาและแรงงานในการดูแลรักษา
เสริมสร้างความแข็งแรงให้ต้นข้าว
ในสภาพดินแห้ง รากข้าวได้รับออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้:
• เกิดการแตกของรากใหม่มากขึ้น
• เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับธาตุอาหาร
• ต้นข้าวแข็งแรงและทนต่อโรคและแมลงศัตรูได้ดียิ่งขึ้น

ขั้นตอนการทำนาเปียกสลับแห้งอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้งในนาข้าวมีขั้นตอน ดังนี้
1. การเตรียมดินและปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ เพื่อให้การควบคุมระดับน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. การปลูกข้าว สามารถทำได้ทั้งวิธีหว่าน ปักดำ หรือหยอด
3. การจัดการน้ำหลังปลูก ในกรณีที่หว่าน ควรระบายน้ำให้แห้งเพื่อให้เมล็ดงอกสม่ำเสมอ และพ่นสารคุม-ฆ่าวัชพืชหลังหว่าน 10 วัน จากนั้นเอาน้ำเข้าแปลงภายใน 2 วันให้สูงประมาณครึ่งต้นข้าว
4. การใส่ปุ๋ยรองพื้น เมื่อข้าวอายุ 20-25 วัน
5. การสลับเปียกแห้ง หลังใส่ปุ๋ยรองพื้น ปล่อยให้น้ำแห้งไปตามธรรมชาติจนถึงระดับ 15 เซนติเมตรใต้ผิวดิน แล้วจึงสูบน้ำเข้าแปลงให้สูง 5 เซนติเมตรเหนือผิวดิน ทำเช่นนี้สลับไปจนถึงระยะกำเนิดช่อดอก
6. การใส่ปุ๋ยแต่งหน้า ในระยะกำเนิดช่อดอก (ข้าวแต่งตัว) และรักษาระดับน้ำให้อยู่ที่ 5 เซนติเมตรเหนือผิวดินจนถึงก่อนเก็บเกี่ยว 10 วัน
7. การเตรียมเก็บเกี่ยว ปล่อยให้แปลงแห้งก่อนเก็บเกี่ยว 10 วัน เพื่อให้ข้าวสุกแก่สม่ำเสมอและสะดวกต่อการเก็บเกี่ยว
สำหรับการตรวจสอบระดับน้ำ แนะนำให้ติดตั้งท่อดูน้ำ 1-2 จุดในแปลงนา โดยใช้ท่อพีวีซีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 นิ้ว ยาว 25 เซนติเมตร เจาะรูรอบท่อและฝังลงไป 20 เซนติเมตร ให้ปากท่อโผล่พ้นผิวดิน 5 เซนติเมตร
นวัตกรรม “BioD I วว.” แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน
นอกจากเทคนิคการทำนาเปียกสลับแห้งแล้ว อีกหนึ่งความสำเร็จของนักวิจัยไทยคือการพัฒนาจุลินทรีย์ “BioD I วว.” โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการย่อยสลายตอซังข้าวทดแทนการเผา
จุลินทรีย์ชนิดนี้ใช้เวลาเพียง 5-10 วันในการย่อยสลายตอซังข้าวให้นิ่ม ทำให้ไถกลบได้ง่าย โดยไม่ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของข้าวและเป็นมิตรต่อระบบนิเวศ เกษตรกรสามารถใช้งานได้หลากหลายวิธี ทั้งการใช้โดรนฉีดพ่น ใช้ถังฉีดพ่น หรือละลายน้ำและขังน้ำไว้เพียง 7 วัน
ผลลัพธ์ที่ได้คือ
• ตอซังข้าวและฟางข้าวนุ่ม เปื่อยยุ่ย ไม่ติดล้อรถไถ
• น้ำในแปลงนามีสีฟางข้าว ไม่มีกลิ่นเหม็น
• ใช้เวลาน้อยกว่าการขังน้ำโดยไม่มีการเติมจุลินทรีย์
• เกษตรกรสามารถเริ่มการทำนารอบถัดไปได้เร็วขึ้น
• ลดการใช้ปุ๋ยเคมีในนาข้าวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20
โมเดล “3R” เพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้ริเริ่มนโยบาย “โมเดล 3R” เพื่อลดผลกระทบจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ประกอบด้วย
1. Re-Habit การเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกร โดยส่งเสริมวิธีปฏิบัติทางการเกษตรที่ไม่เผา และสนับสนุนการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเศษซากพืช
2. Replace with High-Value Crops ส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนจากการปลูกพืชแบบดั้งเดิมไปสู่พืชทางเลือกที่ให้กำไรสูงกว่า เช่น ไม้ผล พืชอายุยืน หรือพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโด และแมคคาดาเมีย
3. Replace with Alternate Crops ปรับเปลี่ยนพืชทางเลือกบนพื้นที่ราบหรือพื้นที่นอกเขตชลประทาน ให้เป็นการปลูกข้าวโพดหรือพืชตระกูลถั่วทดแทนการทำนาปรัง ซึ่งช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน
นอกจากนี้ เศษซากพืชจากการเกษตร เช่น ฟางข้าว อ้อย หรือข้าวโพด ยังสามารถนำมาใช้ในการผลิตพลังงานชีวมวลหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อสร้างมูลค่าตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อีกด้วย
การผสมผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ แต่ยังช่วยส่งเสริมการทำเกษตรอย่างยั่งยืน เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และรักษาตำแหน่งของประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตข้าวคุณภาพชั้นนำของโลก
อ้างอิง
กรมการข้าว
https://thainews.prd.go.th/thainews/news/view/813263/?bid=1
https://www.thairath.co.th/agriculture/agricultural-policy/2834295
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ