“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” ชี้ 3 เทรนด์หลักในการพัฒนาอสังหาฯ ปี 2568 ได้แก่ สุขภาวะที่ดี (Well-Topia), การออกแบบสำหรับทุกวัย (Universal Design), และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Technology & Environment)
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ว่า ปีนี้จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในภูมิทัศน์การพัฒนาที่อยู่อาศัย เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลต่อการอยู่อาศัยของประชากรทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงปี 2568-2569
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรโดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สูงอายุเกิน 20% ของประชากรในปี 2573 ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาอสังหาฯ ในอนาคต
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและโครงสร้างประชากรยังรวมถึงการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้คน รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจมีผลต่อเศรษฐกิจและการเมืองของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศไทยที่อาจส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2568
จากปัจจัยต่างๆ นี้ ทำให้ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายสำหรับทุกภาคธุรกิจ รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องปรับตัวและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยแอล ดับเบิลยู เอสฯ ได้เปิดเผยถึง 3 เมกะเทรนด์สำคัญในการพัฒนาอสังหาฯ ปี 2568 ได้แก่ การพัฒนาอสังหาฯ โดยคำนึงถึงสุขภาวะที่ดี (Well-Topia), การออกแบบที่เหมาะกับทุกเพศและทุกวัย (Universal Design), และการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Technology & Environment)
ออกแบบบ้านเพื่อสุขภาวะที่ดี
การพัฒนาอสังหาฯ โดยคำนึงถึงสุขภาวะที่ดี (Well-Topia) เน้นการออกแบบที่ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ด้วยการเลือกใช้วัสดุและออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมกับสุขภาพ เช่น การจัดพื้นที่สีเขียว, สวนขนาดเล็ก (Pocket Park), พื้นที่พักผ่อนสำหรับผู้สูงวัย (Senior Playground), และการเข้าถึงร้านค้าที่สะดวก รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI ในการตรวจสอบความปลอดภัยและการพัฒนาบริการทางการแพทย์ที่รองรับทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
การออกแบบสำหรับทุกเพศและทุกวัย
การออกแบบที่เหมาะสมสำหรับทุกเพศและทุกวัย (Universal Design for Sustainable Living) สอดคล้องกับความหลากหลายทางเพศและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร โดยมุ่งเน้นการออกแบบที่รองรับทั้งผู้สูงอายุและคนทุกวัย ด้วยพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่นและหลากหลาย เช่น ห้องทำงานที่สามารถปรับใช้เป็นห้องนอน และพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น ฟิตเนสและโค-เวิร์คกิ้ง
ลักษณะบ้านสำหรับคนสูงวัยมีลักษณะสำคัญดังนี้
- พื้นที่กว้างและไม่มีสิ่งกีดขวาง: ควรมีทางเดินที่กว้างเพื่อให้เคลื่อนที่ได้สะดวก เช่น ไม่มีบันไดสูง หรือพื้นผิวที่ลื่น เพื่อป้องกันการลื่นล้ม
- ห้องน้ำที่ปลอดภัย: ควรมีที่จับและอุปกรณ์ช่วยเหลือในการอาบน้ำ รวมถึงพื้นไม่ลื่นและพื้นที่กว้างเพื่อการเคลื่อนไหวที่ง่าย
- ระบบอัตโนมัติ: การติดตั้งระบบเปิด-ปิดไฟหรือประตูอัตโนมัติและเซ็นเซอร์ที่ช่วยควบคุมแสงและอุณหภูมิ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
- การออกแบบที่เข้าถึงง่าย: เช่น การติดตั้งที่นั่งในพื้นที่ต่างๆ และเตียงที่ไม่สูงเกินไปเพื่อให้ง่ายต่อการลุกนั่ง
Smart Home ที่ใช้พลังงานสีเขียว นวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ในยุคที่เทคโนโลยีและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาบรรจบกัน Smart Home หรือบ้านอัจฉริยะที่ใช้พลังงานสีเขียวกำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้คนที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย พลังงานสีเขียว หรือพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน ไม่ทำลายธรรมชาติ
การใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ ในบ้านอัจฉริยะช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งธรรมชาติที่ไม่หมุนเวียน เช่น ถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ โดยการติดตั้ง แผงโซลาร์เซลล์ บนหลังคาของบ้านสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ระบบ Smart Home จะทำการเชื่อมต่อกับ เทคโนโลยี IoT ที่สามารถควบคุมการใช้พลังงานในบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเปิด-ปิดไฟโดยอัตโนมัติ, ควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะ, และการตั้งเวลาการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อประหยัดพลังงาน
นอกจากนี้ระบบเก็บพลังงาน (Energy Storage) เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม จะช่วยเก็บพลังงานที่ผลิตได้จากแสงอาทิตย์ไว้ใช้ในช่วงกลางคืนหรือวันฝนตก ซึ่งทำให้บ้านยังคงใช้งานไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องพึ่งพาพลังงานจากภายนอก
บ้านอัจฉริยะที่ใช้พลังงานสีเขียวไม่เพียงแค่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว แต่ยังเป็นการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่ การใช้พลังงานที่ยั่งยืนอีกด้วย ด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการเลือกใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, บ้านอัจฉริยะจึงไม่เพียงแค่เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้อยู่อาศัย แต่ยังส่งเสริมการสร้างโลกที่ยั่งยืนให้กับรุ่นต่อไป
เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการออกแบบที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งสำคัญ โดยมุ่งเน้นการลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) และการติดตั้งจุดชาร์จ EV ในพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงการคัดแยกขยะ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน
การสำรวจความต้องการของผู้บริโภค
จากการสำรวจของ LWS เมื่อเดือนตุลาคม 2567 พบว่า 38% ของผู้ตอบแบบสอบถามต้องการให้โครงการอสังหาฯ มีระบบคัดแยกขยะ, 32% ต้องการการใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์ และส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการนำเทคโนโลยี IoT มาใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติในบ้าน (Home Automation) และการใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบความปลอดภัย
“ทั้ง 3 เมกะเทรนด์นี้เริ่มเห็นผลตั้งแต่ปี 2567 และจะชัดเจนมากขึ้นในปี 2568 โดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวได้เร็วจะสามารถยืนอยู่เหนือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น” นายประพันธ์ศักดิ์กล่าวสรุป.