ผลการศึกษาขององค์การสหประชาชาติพบว่าสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติกำลังเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว มีความเสี่ยงให้มีพืชและสัตว์ถึง 1 ล้านชนิดอาจจะสูญพันธุ์ สาเหตุหลักๆ มาจากการแสวงหาอาหารและพลังงานอย่างไร้ความพอดีของมนุษย์
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า สหประชาชาติได้ออกรายงานฉบับย่อ 40 หน้า เผยแพร่เป็นครั้งแรกที่การประชุมที่กรุงปารีสเมื่อวานนี้ (6 พ.ค.) ซึ่งน่าจะเป็น “ข้อกล่าวหา” ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีว่ามนุษย์กำลังสร้างผลกระทบต่อ “บ้านหลังเดียว” ของพวกเขาอย่างรุนแรง โดยสหประชาชาติระบุว่าในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา “รอยขูดขีด” ได้กลายเป็น “แผลเป็น” ไปแล้ว

ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เศรษฐกิจโลกขยายตัวถึง 4 เท่า และการค้าระหว่างนานาชาติเพิ่มมากขึ้นถึง 10 เท่า ผลจากการเติบโตดังกล่าวได้มีการทำลายถางป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตร้อน ด้วยอัตราความเร็วจนน่าตกใจเพื่อที่จะผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และพลังงานสำหรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ระหว่างปี 1980 ถึง 2000 โลกสูญเสียพื้นที่ป่าเขตร้อนถึง 100 ล้านเฮกตาร์ โดยส่วนใหญ่เป็นจากการทำไร่ปศุสัตว์ในอเมริกาใต้ และการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่แย่กว่าป่าคือพื้นที่ชุ่มน้ำ ในปี 2000 ยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำเหลือจากที่เคยมีในปี 1700 แค่ 13 เปอร์เซ็นต์ ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยพื้นที่เขตเมืองเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตั้งแต่ปี 1992

พฤติกรรมมนุษย์กำลังทำลายสายพันธุ์พืชและสัตว์เป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รายงานประเมินนี้ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้ว มีสายพันธุ์พืชและสัตว์ 25 เปอร์เซ็นต์ที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์
ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณชี้ว่า ราว 1 ล้านสายพันธุ์เสี่ยงสูญพันธ์ภายในระยะเวลาหลายทศวรรษที่จะมาถึง อัตราการทำลายล้างสูงกว่าอัตราเฉลี่ยในช่วง 10 ล้านปีที่ผ่านมา เป็นหลายสิบถึงหลายร้อยเท่า
ดร.เคท บราวแมน จากมหาวิทยาลัยมินเนโซตา และผู้ร่วมเขียนรายงานฉบับนี้ บอกว่า ได้เห็นการเสื่อมของสภาพธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

การประเมินการในครั้งนี้ยังพบว่า สภาพดินถูกทำให้เสื่อมโทรมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และทำให้ผืนดิน 23 เปอร์เซ็นต์ของโลกสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ ความหิวกระหายของมนุษย์สร้างให้เกิดของเสียจำนวนมหาศาล ตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา มีพลาสติกของเสียเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ทุกปี มนุษย์ทิ้งเหล็ก ตัวทำละลาย กากตะกอนของเสีย และของเสียอื่น ๆ รวม 300-400 ล้านตันลงในแหล่งน้ำ
อะไรคือสาเหตุ
ในหลายปัจจัยที่มีผลทำให้เกิดวิกฤตในครั้งนี้ วิธีการใช้พื้นดินที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นสาเหตุหลัก นี่หมายถึงการเปลี่ยนทุ่งหญ้ามาใช้สำหรับปลูกพืชไร่ เปลี่ยนป่าไม้เก่าแก่มาเป็นพื้นที่ป่าเพื่อการเพาะปลูก หรือไม่ก็ถางป่าทิ้งเพื่อใช้เพาะปลูกแทน เหล่านี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อน
ในทะเลก็เช่นกัน ในปี 2014 มีเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นของพื้นที่มหาสมุทรในโลกที่เรียกได้ว่าปลอดจากปัจจัยกดดันจากมนุษย์ ในปี 2015 ร้อยละ 33 ของปลาที่ได้มาถูกจับด้วยกระบวนการที่ไม่ยั่งยืนอย่างยิ่ง
ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา พื้นผิวปะการังลดลงถึงเกือบครึ่งหนึ่ง ปัจจัยหลักของปัญหาเหล่านี้คือความต้องการอาหารสำหรับจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อสัตว์และปลา

ยานน์ ลอรองส์ จาก IDDRI สถาบันวิจัยนโยบายในฝรั่งเศส บอกว่า ดูเหมือนว่าการใช้พื้นดินจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพพังครืนลง โดย 70 เปอร์เซ็นต์ของการทำเกษตรกรรมเป็นเพื่อการผลิตเนื้อสัตว์ เขาบอกว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะมาทบทวนสัดส่วนของเนื้อสัตว์ที่มาจากกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวที่เราใช้ทานเสียใหม่
ปัจจัยอื่น ๆ ที่สร้างผลกระทบได้แก่ การล่าสัตว์ และการใช้กระโยชน์จากสัตว์โดยตรงด้วยวิธีอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และสัตว์ประเภทที่รุกรานสายพันธุ์สัตว์อื่น ๆ
ตัวเลขการเสื่อมถอย
• ความเสี่ยงสูญพันธุ์ : สายพันธุ์สัตว์และพืชราว 25 เปอร์เซ็นต์กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ หรือประมาณ 1 ล้านชนิดสายพันธุ์
• ระบบนิเวศ : ระบบนิเวศทางธรรมชาติโดยเฉลี่ยเสื่อมถอยลงถึง 47 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการประเมินครั้งแรก ๆ ที่สุดที่เคยทำขึ้นในอดีต
• มวลชีวภาพและความหลากหลายของสายพันธุ์ : มวลชีวภาพของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในป่าลดลงถึง 82 เปอร์เซ็นต์
• สภาพธรรมชาติสำหรับชนพื้นเมือง : ตัวชี้วัดถึง 72 เปอร์เซ็นต์ซึ่งกำหนดขึ้นโดยชนพื้นเมืองชี้ว่า มีองค์ประกอบทางธรรมชาติที่สำคัญสำหรับพวกเขาที่เสื่อมสภาพลงอย่างต่อเนื่อง
อนาคตจะเป็นอย่างไร
รายงานฉบับนี้ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลประเทศต่าง ๆ ต้องทำอย่างไร แต่ก็บอกใบ้ถึงวิธีการอยู่พอสมควร โดยอยากให้เปลี่ยนจากการใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมเป็นมาตรวัดความร่ำรวยทางเศรษฐกิจและหันไปมองภาพรวมแทน มองที่คุณภาพชีวิตและผลที่จะตามมาในระยะยาว
รายงานระบุว่า ความคิดเรื่อง “คุณภาพชีวิตที่ดี” ตามขนบธรรมเนียมของมนุษย์เกี่ยวข้องกับการเพิ่มระดับการบริโภคในทุก ๆ แง่มุม และเราต้องเปลี่ยนความคิดนี้
มนุษย์ต้องลดการลงทุนที่จะทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และต้องเพิ่มสัดส่วนผืนดินและพื้นที่ทางทะเลที่อยู่ภายใต้การอนุรักษ์คุ้มครอง บางฝ่ายบอกว่า เราต้องอนุรักษ์ 1 ใน 3 ของพื้นดินทั้งหมด
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่านับตั้งแต่ปี 1980 ส่งผลให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 0.7 องศาเซลเซียส นี่ทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อสายพันธุ์บางสายพันธุ์ ทั้งลดความหลากหลายและทำให้พวกมันมีแนมโน้มสูญพันธุ์สูงขึ้น
เราจะช่วยอย่างไรได้บ้าง
การสร้างความเปลี่ยนแปลงสามารถทำได้ในระดับปัจเจกบุคคล ไม่ใช่แค่ในระดับรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเท่านั้น
ดร.เคท บราวแมน บอกว่า บ่อยครั้งที่อาหารการกินของคนในสมัยนี้ไม่ดีต่อสุขภาพและต่อโลก และมนุษย์สามารถเป็นคนที่มีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยการทานอาหารหลากหลายมากขึ้น ทานผักมากขึ้น และรักษาโลกด้วยการผลิตอาหารด้วยกระบวนการที่ยั่งยืนกว่าเดิม
นอกจากเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคและวิถีชีวิต ผู้เขียนรายงานคนอื่น ๆ บอกว่า คนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการทางการเมืองได้
ดร.รินคู รอย ชาวดูรี จากมหาวิทยาลัยคลาร์คในรัฐแมสซาชูเซตส์ บอกว่า นอกจากจะประหยัดพลังงานด้วยการปิดไฟในบ้านแล้ว วิธีการอื่น ๆ ที่อาจจะเห็นผลไม่ชัดเท่าก็คือกระบวนการทางการเมือง เช่นการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนั่นเอง
ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก บีบีซีไทย
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
สัตว์ป่าสงวนทยอยข้ามบนอุโมงค์เชื่อมผืนป่าดงพญาเย็นแล้ว
