ครม.เคาะแล้วสร้างเคเบิ้ลส่งไฟไปสมุยลงทุน 2 พันล้าน

ครม.เคาะแล้วสร้างเคเบิ้ลส่งไฟไปสมุยลงทุน 2 พันล้าน

ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 29 มกราคม 2562- พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิ้ลใต้น้ำ 115 เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน 2,130 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ภายในประเทศ 1,597 ล้านบาท และเงินรายได้จากกฟภ.อีก 533 ล้านบาท รวมถึงให้ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างสายเคเบิ้ลใต้น้ำ 115 เควีนั้น เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อทดแทนการจ่ายไฟของสายเคเบิ้ลใต้น้ำระบบ 33 เควี ที่มีอายุการใช้งานครบ 30 ปี และสายเคเบิ้ลใต้น้ำระบบ 115 เควี ชนิด Oil Filled ที่ชำรุด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า เพื่อลดความเสียหายเนื่องจากไฟฟ้าดับ ทั้งนี้ โครงการมีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2562-2563
นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เสนอ ประกอบด้วย เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการดาวเทียมหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ที่กำลังจะสิ้นสุดในปี 2564 โดยมีมติไม่ให้ต่ออายุหรือขยายเวลาสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยหลังสิ้นสุดสัญญาให้คัดเลือกผู้ประกอบการมาบริหารจัดการดาวเทียมภายใต้สัญญาทุกดวงที่มีอายุทางวิศวกรรมของดาวเทียมเหลือ รวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ตามแนวทางพ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) แทน
อีกทั้งครม.ยังมีมติเห็นชอบให้บริษัท ไทยคอม จำกัด (มหาชน) THCOM ดำเนินการเชื่อมต่อระบบขับเคลื่อนเพื่อต่ออายุดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งเป็นหนึ่งในดาวเทียมภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยสาเหตุที่ให้ต่ออายุสัญญา เนื่องจากดาวเทียมไทยคม 5 จะหมดอายุการใช้งานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 แต่สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศจะสิ้นสุดในปี 2564 โดยการต่ออายุดาวเทียมดังกล่าวนั้น จะไม่มีผลทำให้อายุของสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศเปลี่ยนแปลงไป และเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง ทรัพย์สินต่างๆ ซึ่งรวมถึงดาวเทียมไทยคมที่มีอายุเหลืออยู่ รัฐจะคัดเลือกผู้ประกอบการมาบริหารภายใต้รูปแบบ PPP ต่อไป