ข้อเท้าแพลง (Ankle sprain) คือ ภาวะการบาดเจ็บของเส้นเอ็นยึดตรึงข้อเท้าอย่างเฉียบพลัน เมื่อข้อเท้าเกิดการบิดหมุนออกจากเท้าอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เนื้อเยื่อรอบๆบริเวณนั้นเกิดการบาดเจ็บแบบฟกช้ำ จนถึงฉีกขาด บางกรณีถึงขั้นกระดูกหัก
โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงและต้องเฝ้าระมัดระวังคือ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน หรือนักกีฬาประเภทเข้าปะทะหนักๆ รวมทั้งผู้หญิงที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูงอยู่เป็นประจำ กลุ่มบุคคลเหล่านี้จะมีโอกาสข้อเท้าแพลงได้มากกว่าบุคคลปกติ
สาเหตุการเกิดข้อเท้าแพลง
• อุบัติเหตุ เช่น การลื่นล้มในห้องน้ำ การเดินตกบันได การเหยียบวัตถุบางอย่างแล้วเกิดการพลิกของข้อเท้า
• การเล่นกีฬา หรือการออกกำลังกาย เช่น การวิ่งลงน้ำหนักไปที่เท้าที่ผิดวิธี การเข้าปะทะในกีฬาบางชนิด เช่น ฟุตบอล
• การสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสมกับขนาดเท้า โดยเฉพาะผู้หญิงที่ใส่รองเท้าส้นสูง หรือผู้ที่ออกกำลังกายแล้วเลือกรองเท้าไม่เหมาะสมกับกีฬา เช่น ใส่รองเท้าผ้าใบลงไปเล่นฟุตบอลในสนาม แทนการใส่รองเท้าสตัด เป็นต้น
อาการข้อเท้าแพลง
ระดับที่ 1 เนื้อเยื่อ หรือเส้นเอ็นข้อเท้าเกิดการฉีกขาดเพียงเล็กน้อย มีอาการปวด บวม กดเจ็บบริเวณเท้า
ระดับที่ 2 เนื้อเยื่อ หรือเส้นเอ็นข้อเท้าเกิดการขาดฉีกขาดเพียงบางส่วน มีอาการคล้ายกับระดับที่ 1 แต่จะรุนแรงกว่า
ระดับที่ 3 เนื้อเยื่อ หรือเส้นเอ็นข้อเท้าเกิดการขาดฉีกขาดทั้งหมด จนไม่สามารถเดินลงน้ำหนักไปที่เท้าได้เป็นปกติ
การวินิจฉัยข้อเท้าแพลง
ขั้นแรกแพทย์จะซักประวัติการเกิดข้อเท้าแพลงในอดีต รวมทั้งอาการบาดเจ็บ และตรวจร่างกายผู้ป่วยทางภายนอกแบบเบื้องต้น เช่น การจับ ขยับ กดข้อเท้า ดูการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย หลังจากนั้นก็จะเป็นการตรวจทางรังสีโดยใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ต่างๆ ได้แก่
• การเอกซเรย์ (X-Ray) สามารถเห็นโครงสร้างภายในกระดูกข้อเท้า
• การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เพื่อให้เห็นภาพในกระดูกข้อเท้า เนื้อเยื่อ และเอ็นข้อต่ออย่างละเอียด
• การใช้เครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เห็นภาพรายละเอียดภาพรายละเอียดภายในข้อเท้าที่เกิดความเสียหายอย่างละเอียด
การรักษาข้อเท้าแพลง
o การรับประทานยา ยาแก้ปวด
o การใช้อุปกรณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักลงที่เท้า เพราะถ้าหากเดินปกติอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำได้ โดยใช้อุปกรณ์ เช่น ไม้เท้าค้ำยัน อุปกรณ์แบบสวมพยุงข้อเท้า (Brace)
o กายภาพบำบัด ทำการบริหารข้อเท้า เพื่อให้กล้ามเนื้อ และเอ็นข้อเท้ามีความยืดหยุ่น แข็งแรงยิ่งขึ้น
o การทำหัตถการ เป็นการใส่เฝือกดามข้อเท้า หรือเฝือกรองเท้าช่วยเดิน (Walking Boot)
o การผ่าตัดรักษาเส้นเอ็น (Reconstruction) แพทย์จะนำเอ็นข้อต่อ หรือเอ็นกล้ามเนื้อในบริเวณใกล้เคียงมาซ่อมแซมเอ็นเนื้อเยื่อในส่วนที่เกิดความเสียหาย
o การผ่าตัดส่องกล้อง (Arthroscopy) แพทย์จะทำการผ่าตัดกระดูกหรือกระดูกอ่อนบริเวณข้อเท้าที่เกิดการแตกหัก
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อข้อเท้าแพลง โดยมีหลักการง่ายๆ คือ R-I-C-E
R : Rest การพัก หยุดการใช้งานอวัยวะที่เกิดอาการบาดเจ็บทันที โดยใช้เวลาประมาณ 48 ชั่วโมง ก่อนเคลื่อนไหวอีกครั้ง
I : Ice การประคบเย็น โดยใช้ถุงน้ำแข็ง หรือผ้าชุบน้ำเย็นจัด ประคบบริเวณข้อเท้าที่ปวดบวม วันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที อีกทั้งยังสามารถใช้สเปรย์เย็น (cooling spray) เพื่อบรรเทาอาการปวดชั่วคราว
C : Compression การพันผ้ายืดรัดข้อเท้า เพื่อบรรเทาอาการข้อเท้าบวม จะต้องใช้วัสดุ และวิธีการที่เหมาะสม เพราะถ้าหากทำไม่ถูกวิธีจะส่งผลให้เกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น
E : ยกข้อเท้าขึ้นสูงให้สูงระดับหัวใจขณะนอนเพื่อบรรเทาอาการข้อเท้าบวม
การบริหารกล้ามเนื้อข้อเท้า และปลายประสาท
• การกระดกเท้าขึ้น-ลง บิดเท้า และหมุนข้อเท้าเข้า-ออก รวมทั้งใช้ปลายเท้าวาดตัวอักษร
• ทำตามอย่างข้างตนแต่ว่าเกร็งข้อเท้าค้างไว้ 5-10 วินาที
• ค่อยๆ ลงน้ำหนักบริเวณที่เกิดข้อเท้าแพลง เน้นไปที่ ส้นเท้า ปลายเท้า ด้านในเท้า ด้านนอกเท้า ทำสลับกัน ประมาณ 10 รอบ
ข้อเท้าแพลง อีกกี่วันถึงจะหายเป็นปกติ
ปกติแล้วข้อเท้าแพลงจะหายภายในเวลา 3-6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการรักษาอย่างถูกวิธี และความรุนแรงอาการ ได้แก่
ระยะที่ 1 จะหายเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์
ระยะที่ 2 จะหายเป็นปกติภายใน 4-6 สัปดาห์
ระยะที่ 3 จะหายเป็นปกติภายใน 6-10 เดือน
การป้องกันข้อเท้าแพลง
• เลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับขนาดเท้า และกิจกรรมที่ทำ
• อบอุ่นร่างกายก่อนเล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย
• หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบริเวณข้อเท้า เช่น ระมัดระวังขณะขึ้น-ลง บันได
• ลดน้ำหนักตัวอย่างถูกวิธี
• รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาตัวเล็ก ปลาแซลมอน และดื่มนม
ทั้งนี้แม้ว่าหลังจากการรักษาภาวะข้อเท้าแพลงเรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงที่ข้อเท้าจะเกิดการพลิกได้ง่ายกว่าบุคคลปกติทั่วไป รวมทั้งอาการการปวดข้อเท้า กระดูกข้อเท้าแบบเรื้อรังอีก ดังนั้นหากเกิดอุบัติเหตุที่ข้อเท้าควรไปพบแพทย์โดยทันที ไม่ควรต้องรอให้มีอาการหนักก่อน เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ.
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
3 สารอาหารดี ๆ ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก
https://www.thaiquote.org/content/248479
มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติแนะนำ 5 ขั้นตอนเพื่อสุขภาพกระดูกที่ดีขึ้น
https://www.thaiquote.org/content/248498
อาหารเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดซ้ำของมะเร็งเต้านม และอาหารยังสนับสนุนการรักษามะเร็ง
https://www.thaiquote.org/content/248397