ฟังความจากกองทัพเรือ “ซื้อเรือดำน้ำ” ผลประโยชน์ชาติ 24 ล้านล้าน คุ้มค่ากับราคาที่ซื้อแน่นอน

ฟังความจากกองทัพเรือ “ซื้อเรือดำน้ำ” ผลประโยชน์ชาติ 24 ล้านล้าน คุ้มค่ากับราคาที่ซื้อแน่นอน


คณะนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ แถลงถึงประเด็น “การซื้อเรือดำน้ำ” ลำที่ 2 และ 3 ของกองทัพเรือต่อสาธารณะในบ่ายวันที่ 24 สิงหาคม 2563 เวลาประมาณ 14.00 น. โดยนำเสนอถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมีเรือดำน้ำไว้ประจำการ โดยมีเหตุผลคือการรักษาผลประโยชนของชาติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ

กองทัพเรือ ยืนยันว่าการใช้งบประมาณเป็นไปอย่างถูกต้อง และการเข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ICT รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเมื่อศุกร์ที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็เป็นไปอย่างถูกต้องและชี้แจงได้ในทุกประเด็น แต่ทั้งนี้ มีผู้นำข้อมูลออกมาพูดต่อสาธารณะเพ่อหวังผลชประโยชน์ทางการเมือง

พลเรือเอก สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ กล่าวว่า จากการที่กองทัพเรือเข้าชี้แจงการใช้งบประมาณประจำปี 2564 ต่อคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ICT รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเสร็จสิ้นมีการนำข้อมูลออกมาพูดต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนและทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อาจจะเพราะเป็นการหวังผลทางการเมือง เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาล ดังนั้น กองทัพเรือจึงจำเป็นที่จะต้องนำข้อมูลความจริงเสนอให้กับประชาชน

พลเรือเอก สิทธิพร กล่าวอีกว่า เรือดำน้ำถือเป็นอาวุธสำคัญสำหรับยุทธศาสตร์ กองทัพเรือเห็นความสำคัญมาตลอด แต่หลายๆ ครั้ง โครงการจะถูกโยงเป็นประเด็นทางการเมืองเสมอ แต่จากวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 พลเรือเอกลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ขณะนั้นดำรงตำแห่งเสนาธิการทหารเรือ ได้แถลงข่าวบนเรือหลวงจักรีนฤเบศ ถึงเหตุผลในการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 1 และสะท้อนว่ายุทธศาสตร์มีความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมีเรือดำน้ำ 3 ลำ

นั่นเพราะประเทศเพื่อนบ้านขอบงไทยมีเรือดำน้ำประจำการอยู่ 1-2 ลำ เมื่อปี 2560 แต่ขณะนี้มีจำนวนเรือดำน้ำที่เพิ่มขึ้น ขณะที่บางประเทศไม่มีก็เริ่มมีแล้วเช่นกัน และในอนาคตจะเพิ่มจำนวนขึ้นไปอีก สำหรับประเทศไทยเรือดำน้ำลำที่ 1 ที่ลงนามไปในปี 2560 จะเข้าประจำการในปี 2566 ส่วนลำที่ 2-3 จะเข้าประจำการตามกรอบหากไม่มีการเลื่อนหรือชะลอได้ในปี 2569-2570

ด้านพลเรือโท เถลิงศักดิ์ สิทธิสวัสดิ์ เจ้ากรมทหารเรือ กล่าวเช่นกันว่า แน่นอนว่าสงครามจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่ก็ไม่มีการการันตีว่าจะไม่เกิดขึ้นเรือ กองทัพเรือพิจารณาตามหลักยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ ยกตัวอย่างว่า มีหมูเกาะในทะเลจีนใต้ที่มีการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ของหลายประเทศ มีการเข้าไปก่อสร้างสถานี สนามบินต่างๆ ในพื้นที่ข้อพิพาทและนำไปสู่ความขัดแย้ง

“อย่างเช่นเรือทางการจีนไปชนเรือทางการเวียดนามเมื่อไม่นานที่ผ่านมาก็เกิดความตึงเครียดขึ้น อีกทั้งสหรัฐอเมริกาได้ปฏิบัติการทางทหารโดยส่งกำลังทั้งทางเรือ อากาศเข้ามาในเขตทะเลจีนใต้มากขึ้น อินเดียก็บอกว่าทะเลจีนใต้คือพื้นที่สำคัญ หากปิดทะเลจะกระทบต่อเอกราชอินเดีย ผมเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจคำนี้ และหากมีการปะทะกันในทะเลจีนใต้จะกระทบประเทศไทยทันที เพราะทะเลจีนใต้เป็นหัวใจสำคัญและเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจทางทะเลของไทย ทั้งเรือสินค้าที่เข้า-ออกน่านน้ำของเราที่มีมูลค่าสูงถึง 24 ล้านล้านบาท หากเกิดอะไรขึ้นมาใครจะไปดูแล ไม่มีใครนอกจากกองทัพเรือ ดังนั้น หากไทยไม่เข้มแข็ง ประเทศจะเจอผลกระทบแน่นอน” พลเรือเอกสิทธิพร กล่าว

เจ้ากรมทหารเรือ กล่าวอีกกว่า ยังมีสัญญาทางเศรษฐกิจที่ไทยและมาเลเซียลงนามร่วมกัน โดยมีมูลค่ากว่าปีละ 3 แสนล้านบาท และสัญญาจะสิ้นสุดลงในปี 2572 หากเป็นไปตามกรอบเดิมไทยจะได้เรือดำน้ำลำที่ 2-3 ในปี 2570 จึงถามว่าเมื่อเรามีความเข้มแข็ง และแข็งแกร่งทางทะเล การเจรจา การมีอำนาจต่อรองจะทำให้เรามีน้ำหนักที่มากขึ้นได้หรือไม่

พลเรือโท เถลิงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ยกตัวอย่างอีกว่า เมื่อปีที่ผ่านมามีเรือของประเทศเพื่อนบ้านรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนประเทศไทย เพื่อเสาะหาชาวโรฮีงญา คำถามคือ ประเทศเพื่อนบ้านมีความเกรงใจประเทศไทยบ้างหรือไม่ เขาล้ำเข้ามาในเขตแดนเรา และหากอีก 7 ปีข้างหน้า ศักยภาพของเพื่อนบ้านที่มีมากกว่าเรา เขายังคงจะเกรงใจเราอยู่หรือไม่ ฝากไว้ให้คิด

“ผลประโยชน์ชาติ 24 ล้านล้านบาท จัดซื้อเรือดำน้ำราว 2 หมื่นกว่าล้านบาท เทียบกันแค่ 0.093% เท่านั้น ผมยืนยันว่าคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และคุ้มค่าทางความมั่นคง” เจ้ากรมทหารเรือ กล่าว

พลเรือโท ธีรกุล กาญจนะ ปลัดบัญชีทหารเรือ กล่าวว่า งบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นแบบทยอยจ่ายประจำปี ในส่วนของปี 2563 งบประมาณของเรือดำน้ำนั้น กองทัพเรือได้ส่งคืนให้กับรัฐบาลทั้งหมด และชะลอการจ่ายกับจีนที่ผลิตเรือดำน้ำให้เราออกไป เพราะเข้าใจถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่รัฐบาลต้องใช้งบประมาณเพื่อคนทั้งประเทศ แต่เมื่อแผนสำหรับอนาคต กองทัพเรือมีการวิเคราะห์และมองว่างบประมาณที่เป็นของกองทัพเรืออยู่แล้ว และไม่ได้ขอเพิ่มแต่อย่างใด ก็น่าจะดำเนินการต่อเนื่องเพื่อซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ได้ตามกรอบ

พลเรือโท ธีรกุล กล่าวอีกว่า การตั้งงบประมาณนี้เป็นการทยอยใช้จ่ายงบประมาณอย่างจำกัด และใช้อย่างตรงตามหลักเกณฑ์ตามปกติทั่วไป อีกทั้ง การจัดทำงบประมาณของกองทัพเรือนั้น เป็นไปตามหลักการ มีขั้นตอน กระทำโดยความรอบคอย ยึดหลักความประหยัด และความคุ้มค่าเป็นสำคัญ ซึ่งกองทัพเรือตระหนักดีถึงเงินทุกบาทุกสตางค์ของประเทศชาติ

“งบประมาณปี 2563 คืนไปทั้งก้อน เหลือ 0 ล้านบาท ส่วนงบประมาณปี 2564 ตั้งไว้จำนวน 3,925 ล้านบาท เท่ากับร่างเดิมปี 2563 ขณะที่งบประมาณปี 2565 -2569 คงเป็นไปตามร่างเดิม แต่ไปเพิ่มขยายขึ้นในปี 2570 เป็นจำนวน 3375 ล้านบาท เท่ากับจำนวนที่ได้คืนไปในปี 2563” ปลัดบัญชีทหารเรือ ชี้แจง

พลเรือโท ธีระ กล่าวอีกว่า การตั้งงบประมาณนี้เป็นการทยอยใช้จ่ายงบประมาณอย่างจำกัด และใช้อย่างตรงตามหลักเกณฑ์ตามปกติทั่วไป อีกทั้ง การจัดทำงบประมาณของกองทัพเรือนั้น เป็นไปตามหลักการ มีขั้นตอน กระทำโดยความรอบคอย ยึดหลักความประหยัด และความคุ้มค่าเป็นสำคัญ ซึ่งกองทัพเรือตระหนักดีถึงเงินทุกบาทุกสตางค์ของประเทศชาติ

พลเรือตรี อรรถพล เพรชฉาย เลขานุการคณะกรรมการจัดหาเรือดำน้ำ กล่าวเสริมว่า การที่มีผู้ให้ข่าวว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 1 ไม่มีกฎหมายรองรับนั้น ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นตามความจริง มีเอกสารหลักฐานรองรับได้ และการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ที่ควรจะเริ่มตั้งแต่ปี 2563 เราก็ยอมเสียสละงบประมาณ ขอเลื่อนการชำระออกไป เพราะประเทศกำลังลำบาก แต่เรามองว่ายังอยู่ในไทม์ไลน์ที่หมาะสมอยู่ที่จะหาเรือดำน้ำมาใช้ในกองทัพเรือ และคิดว่าปี 2564 ก็มีงบอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร

อย่างไรก็ตาม เมื่อไปชี้แจงแล้ว ก็มีคนเอาข้อมูลในคณะอนุกรรมาธิการฯ ออกไปพูด ก็ไม่เข้าใจกัน ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วว่าประเด็นคืออะไร ไม่เข้าใจว่าจะบิดเบือนเพื่ออะไร นอกจากนี้ การลงนามแบบจีทูจีกับจีนเพื่อจัดหาเรือดำน้ำนั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นข้อตกลงร่วมระหว่างกัน

“สรุปเรือลำที่ 1 เป็นข้อตกลงแรกในจำนวนของเรือดำน้ำ 3 ลำ และทุกอย่างผ่านกฎหมายได้รับความเห็นชอบของรัฐบาลมาอย่างถูกต้อง และได้เจรจากับทางตัวแทนรัฐบาลจีน มีการต่อรองราคา และทำให้ราคาของเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ถูกกว่าลำที่ 1 อีกด้วย แต่หากเลื่อนไปเรื่อยๆ ใครจะอยากทำการค้ากับเรา และเมื่่อมาถึงปีที่สนับนสนุนงบประมาณได้ หากเราไม่ทำข้อตกลงเอาไว้ เพื่อดูแลประโยชนของประชาชน ดังนั้น กองทัพเรือมีคความจำเป็นที่ต้องขอยืนยันในการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ที่เลื่อนมากจากปี 2563”

“ใบเสนอราคาจะหมดอายุลงในก.ย.2563 แต่เขาอาจจะยืดอายุให้ก็ได้ แต่ตามปกติแล้วไม่ใช่ เลยเวลาไปแล้วก็ต้องตกลงกันใหม่ ทั้งราคา อุปกรณ์เพิ่มเติม และหากเรือดำน้ำมาช้ากว่านี้ หากว่าปี 2569-2570 เรือดำน้ำยังไม่มา ประชาชนจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไรจากใครก็ตามที่หมัดโตกว่า กล้ามใหญ่กว่า คนที่มีศํกยภาพเรษฐกิจที่ดีกว่า พื้นที่ของเราที่ซ้ำซ้อนกันอยู่จะโดนเฉือนออกไปมั้ย” พลเรือตรี อรรถพล กล่าว

 

ข่าวเกี่ยวข้อง

จับตา! “ทัพเรือ” แถลงปมซื้อ “เรือดำน้ำ” วันนี้!