น้อมรำลึกพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาของทุกปี ท่ามกลางผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ และสภาพภูมิอากาศ ‘หลักเศรษฐกิจพอเพียง’ กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งสร้างวิถีชีวิต ที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โลกเผชิญในปัจจุบัน และพระราชกรณียกิจของ ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ ล้วนตอกย้ำการนำมาใช้ให้ค้นพบทางสู่ความยั่งยืน
เสด็จสู่สรรคาลัย น้อมใจเดินตามรอยเท้าพ่อ ครบรอบ 8 ปี วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 สิริพระชนมายุ 88 พรรษา มรดกทางความคิดของพระองค์ ‘หลักเศรษฐกิจพอเพียง’ ยังคงหลงเหลือสู่การปรับใช้ในหลายด้านของการพัฒนาเมืองและการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ แสดงให้เห็นว่าพระราชกรณียกิจของพระองค์ ยังคงมีความสำคัญต่อการเติบโตของประเทศไทยในปัจจุบัน
ท่านเตือนเราไว้ทุกอย่างแล้ว เราแค่แปลไม่ออกเอง!!
“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พระองค์ท่านได้ใช้เวลาอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 8 และที่ 9 แต่เมื่อจำนวนประชากรโลกมากขึ้นถึง 9 พันล้านคน พฤติกรรมมนุษย์จึงกลายเป็นผู้สร้างและผู้ทำลายบริโภคเกินพอเพียง จนต้องกลับมาทวนทวนการบริโภคในชีวิตประจำวัน การผลิตต้องใช้ทรัพยากรในโลกที่เติบโตขึ้น เป็นการบริโภคด้วยเหตุผล หรือด้วยความโลภ เสื้อผ้า ของใช้ พลังงาน”
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เปิดเผยว่า ความยั่งยืนสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่ตามความเข้าใจของทุกคนยังคงคลาดเคลื่อนแม้มีมานานตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ตั้งไว้เมื่อปี 2542 หลังจาก เศรษฐกิจไทยเกิดฟองสบู่ ปี 2539 ทำให้บ้านเมืองล่มจมหนี้สินเท่าตัว ภาคธุรกิจต้องปิดกิจการไปไม่รอด เกิดเหตุทุกข์ร้อนทั่วประเทศ จนต้องกู้เงินองค์การการเงินระหว่างประเทศ(IMF) เข้ามาแก้ไขปัญหา
ผลสุดท้ายพระองค์ท่านเริ่มกล่าวถึง เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) อันเป็นหัวใจหลัก โดยใช้เวลาอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนได้นำไปบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545–2549) และมีพระราชทานจำกัดความที่ย้ำเตือนถึงความเปลี่ยนแปลง ที่ตอนแรกอาจนึกถึงแค่เศรษฐกิจแต่ระยะหลังทำให้นึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ น้ำท่วม โรคระบาดที่เข้ามาหลังสถานการณ์วิกฤตโควิด-19
ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้อำนวยการ โครงการพอแล้วดี The Creator กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) และการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ มีเป้าหมายปลายทางที่สอดคล้องกันอย่างกลมกลืน นั่นคือ สมดุล และความสงบสุขในทุกภาคส่วน ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งทางสังคมเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เราจึงต้องค้นหาแก่นแท้ของวิธีการนำมาปรับใช้แบบไม่ผิวเผิน
เศรษฐกิจพอเพียง: หลักคิดเพื่อชีวิตที่ยั่งยืน
หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบแนวคิดที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับบุคคลและระดับชาติ ช่วยให้คนไทยมีวิธีคิดที่ไม่เพียงแต่เน้นผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ยังคำนึงถึงการรักษาสมดุล โดยไม่ทิ้งความรับผิดชอบให้สังคมและธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังความเสี่ยงและความผันผวนจากปัจจัยภายนอกที่ซับซ้อนในปัจจุบัน
แนวคิดนี้ยังสามารถนำไปปรับใช้ในหลายบริบท ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยเน้นการทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีการวางแผนที่รอบคอบเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
ห่วงที่หนึ่ง ความพอประมาณ
หมายถึง การใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมและไม่มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การผลิต หรือการใช้จ่าย ต้องทำอย่างมีขอบเขตที่ไม่เกินตัว รู้จักการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ลดการใช้สิ่งของที่เกินความจำเป็น เช่น การลดการใช้พลังงาน การใช้น้ำอย่างประหยัด และการลดการบริโภคพลาสติกที่ย่อยสลายยาก
ห่วงที่สอง ความมีเหตุผล
การตัดสินใจทุกอย่างควรมีเหตุผลรองรับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ทรัพยากร การลงทุน หรือการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต ต้องพิจารณาผลที่ตามมาและวิเคราะห์อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อธรรมชาติและสังคม
ห่วงที่สาม การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสังคม หรือภัยธรรมชาติ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีจะช่วยให้สามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ในทุกสภาวะ
เงื่อนไขที่หนึ่ง ความรู้ การใช้ความรู้ที่ถูกต้องและทันสมัยในการตัดสินใจ เพื่อให้สามารถจัดการกับทรัพยากรและชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งมุ่งเน้นการลดขยะ การนำกลับมาใช้ใหม่
เงื่อนไขที่สอง การมีคุณธรรมและจริยธรรม ในการดำเนินชีวิต ซึ่งรวมถึงความซื่อสัตย์ ความขยันขันแข็ง ความอดทน และการแบ่งปันเห็นใจต่อผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับ SDGs หลายข้อ เช่น SDG 10 ลดความเหลื่อมล้ำ มีคุณธรรมในการให้ความเสมอภาคและโอกาสที่เท่าเทียม
พระราชกรณียกิจของพระองค์ครอบคลุมหลากหลายด้าน เช่น การเกษตร, สิ่งแวดล้อม, และสังคม โดยเฉพาะโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ที่เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น โครงการแกล้งดิน, โครงการฝนหลวง แก้มลิง
โครงการพระราชดำริ: การพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
หนึ่งในพระราชกรณียกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ โครงการพระราชดำริ ซึ่งพระองค์ทรงริเริ่มและผลักดันมากกว่า 4,000 โครงการ โครงการเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนในหลายมิติ ตั้งแต่การจัดการน้ำ การพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรม ไปจนถึงการอนุรักษ์ป่าไม้ พระองค์ทรงเน้นการพัฒนาแบบยั่งยืนและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล ตัวอย่างเช่น โครงการฝนหลวง ที่ช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่การเกษตร หรือ โครงการแกล้งดิน เพื่อฟื้นฟูดินที่มีความเป็นกรดสูงให้สามารถทำการเกษตรได้อีกครั้ง
การจัดการน้ำ: รากฐานของการพัฒนา
ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งมาโดยตลอด พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ต่อการเกษตรและการดำรงชีวิตของประชาชน โครงการแก้มลิง เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่เน้นการจัดเก็บน้ำส่วนเกินในช่วงฤดูน้ำหลาก และเก็บไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง เปรียบเสมือนการเก็บน้ำใน ‘แก้มลิง’ เพื่อใช้ในยามจำเป็น
การเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสังคม หรือภัยธรรมชาติ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีจะช่วยให้สามารถปรับตัวและอยู่รอดและมีสามารถสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับทั้งคนและธรรมชาติ ตั้งแต่การพัฒนาเกษตรกรรม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ไปจนถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน