ปีนี้ ภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นไม่มีหิมะปกคลุมในช่วงต้นเดือนตุลาคมเหมือนทุกปี อย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่หิมะมาช้าที่สุดในรอบ 130 ปีนับจากมีการบันทึกไว้ กว่าหิมะจะมาล่วงเข้าเดือนพฤศจิกายน
แปลโดย: วันทนา อรรถสถาวร
ภูเขาไฟฟูจิเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว สูง 3,776 เมตร และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ภูเขาไฟนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบทั้งปี และเปิดให้ปีนขึ้นไปได้ในเดือนกรกฎาคม นักท่องเที่ยวหลายล้านคนแห่กันมายังสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกทุกปี เพื่อหวังจะปีนเขาขึ้นไปบนยอดเขาและชมพระอาทิตย์ขึ้นจากเนินเขาที่มีชื่อเสียงแห่งนี้
โดยทั่วไปแล้วภูเขาไฟฟูจิจะขึ้นชื่อเรื่องเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอันสง่างามตลอดทั้งปี ทุก ๆ ฤดูใบไม้ร่วง หิมะที่ปกคลุมภูเขาไฟแห่งนี้จะปรากฏขึ้น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม
ปีที่แล้ว หิมะเริ่มปรากฏบนยอดเขาตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม แต่ปีนี้กลับแตกต่างออกไป กว่าหิมะจะมาล่วงเข้าเดือนพฤศจิกายน นับว่าล้าช้าที่สุดในรอบ 130 ปีนับตั้งแต่มีการบันทึกไว้
หิมะที่หายไปบนภูเขาไฟฟูจิ
ดูเหมือนว่ายอดเขาฟูจิจะไม่ได้เปลี่ยนโฉมเป็นสีขาวประจำปีอีกต่อไป ตามรายงานของยูทากะ คัตสึตะ นักพยากรณ์อากาศจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่นโคฟุ ระบุว่า สภาพอากาศที่อบอุ่นทำให้หิมะไม่ตกบนภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
ตามที่ คัตสึตะระบุ อุณหภูมิสูงในช่วงฤดูร้อนนี้ และอุณหภูมิสูงยังคงต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกันยายน ส่งผลให้ลมหนาวที่พัดมาพร้อมกับหิมะในปีนี้จนถึงเดือนตุลาคมยังไม่พัดมา
คัตสึตะ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อช่วงเวลาในการก่อตัวของหิมะ
ในความเป็นจริง ฤดูร้อนปี 2024 (พ.ศ. 2567) ถือเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ของญี่ปุ่น ซึ่งเท่ากับอุณหภูมิที่พบเห็นในปี 2023(พ.ศ. 2566)
อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนตุลาคมบนยอดเขาฟูจิโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ -2 องศาเซลเซียส (28.4 องศาฟาเรนไฮต์) แต่ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1.6 องศาเซลเซียส (34.9 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2475
ช่วงอากาศอบอุ่นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ญี่ปุ่นเคยเผชิญกับฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ซึ่งได้รับอิทธิพลจากภูมิอากาศโลกทำให้มีหิมะตกในช่วงต้นฤดูหนาวน้อยลงในพื้นที่อื่นๆ ของญี่ปุ่น
JMA อ้างถึงสภาพอากาศร้อนในเดือนตุลาคม ว่าอาจเป็นสาเหตุทำให้หิมะไม่ตกที่ภูเขาไฟฟูจิตามเวลา แต่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะเชื่อมโยงหิมะที่ตกช้าในปีนี้ กับภาวะโลกร้อน
“ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลให้นานกว่านี้ เพื่อให้สามารถสรุปผลได้” เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกล่าวกับสำนักข่าว AP
ภูเขาไฟฟูจิ : ศูนย์กลางการเดินป่า
ภูเขาไฟฟูจิไม่เพียงแต่เป็นทัศนียภาพทางธรรมชาติอันงดงามเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่าอีกด้วย โดยมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 220,000 คนเดินทางมาเดินป่าขึ้นเนินหินที่ลาดชันแห่งนี้ทุกปีในช่วงฤดูกาลเดินป่า
นักเดินป่ามักจะปีนขึ้นไปในเวลากลางคืน เนื่องจากต้องชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเขาที่สูง 3,776 เมตร (12,388 ฟุต)
อย่างไรก็ตาม ปีนี้มีจำนวนนักปีนเขาน้อยลง ทางการญี่ปุ่นจึงกำหนดค่าธรรมเนียมเข้าชมและกำหนดจำนวนนักปีนเขาต่อวันเพื่อรับมือกับปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง
นอกจากจะเป็นความท้าทายทางกายภาพและแลนด์มาร์กธรรมชาติบนหิมะแล้ว ภูเขาไฟฟูจิยังเป็นแรงบันดาลใจด้านสุนทรียศาสตร์อีกด้วย โดยเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดงานศิลปะมากมาย รวมถึงผลงาน “คลื่นยักษ์” ของโฮคุไซในตำนาน ซึ่งการปะทุครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 300 ปีที่แล้ว
เนินเขาโล่งของภูเขาไฟฟูจิ
การที่ไม่มีหิมะบนภูเขาไฟฟูจิทำให้เกิดความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ไม่เพียงแต่เป็นความผิดปกติสำหรับยอดเขาที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในวงกว้าง ที่ส่งผลกระทบต่อโลกของเราอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในท้องถิ่น เช่น ผลกระทบต่อพืชและสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิที่หนาวเย็น
นอกจากนี้ หิมะที่ละลายยังส่งผลต่อแหล่งน้ำจืดในพื้นที่โดยรอบอีกด้วย การสะสมตัวของหิมะที่ล่าช้าอาจส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูกาลต่อๆ มา
พบหิมะตกแรกบนภูเขาไฟฟูจิของญี่ปุ่นแล้ว
หลังจากล่าช้าเป็นประวัติการณ์
ปรากฎการณ์หิมะปกคลุมภูเขาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้เกิดขึ้นในวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา นับเป็นหิมะตกที่ล้าช้าที่สุดเท่าที่บันทึกไว้ตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกเมื่อ 130 ปีก่อน
ภาพถ่ายจากจุดต่างๆ รอบๆ ภูเขาไฟฟูจิเผยให้เห็นยอดภูเขาไฟฟูจิสีขาวอันโด่งดัง ขณะที่ศาลาว่าการฟูจิในเมืองชิซูโอกะได้ ได้แบ่งปันภาพถ่ายของยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และชาวเมืองก็ได้โพสต์ภาพถ่ายของตนเอง
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น สาขาชิซูโอกะ รายงานว่า พบเห็นหิมะตกบริเวณด้านตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขา
อย่างไรก็ตาม การมาถึงของหิมะยังไม่เป็นทางการ JMA ในโคฟุ ซึ่งรับผิดชอบการประกาศเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 1984 (พ.ศ. 2527) เนื่องจากอยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขาและถูกเมฆบดบังทัศนียภาพ
ความสำคัญทางวัฒนธรรมของภูเขา
ภูเขาไฟฟูจิและหิมะมีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งและเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ของญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความงามตามธรรมชาติและความผูกพันทางจิตวิญญาณที่แทรกซึมอยู่ในวรรณกรรม นิทานพื้นบ้าน และศิลปะ
ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงทัศนียภาพอันงดงามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และการแสวงบุญส่วนตัวอีกด้วย เมื่อญี่ปุ่นเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศก็เป็นโอกาสให้ทบทวนและปรับตัว
ทั้งนักวิทยาศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายต้องร่วมมือกันจัดทำกลยุทธ์เพื่อบรรเทาการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าภูเขาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้จะยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไป ขณะเดียวกันก็ปกป้องระบบนิเวศวิทยาและมรดกทางวัฒนธรรมไว้ด้วย
ความล่าช้าของหิมะบนภูเขาไฟฟูจิ
นักวิทยาศาสตร์ กำลังทำการวิจัยว่า เหตุใดภูเขาไฟฟูจิจึงเกิดหิมะล่าช้ากว่าปกติ โดยศึกษาสภาพภูมิอากาศในท้องถิ่นและทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ และข้อมูลสภาพภูมิอากาศในอดีต เพื่อทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อภูเขาแห่งนี้อย่างไร
เทคโนโลยีสภาพอากาศที่ดีขึ้นช่วยให้สามารถคาดการณ์รูปแบบหิมะ ในอนาคต ได้ การวิจัยดังกล่าวสามารถช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของภูเขาไฟฟูจิได้ ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความเข้าใจของเราเกี่ยวกับสภาพอากาศบนภูเขาทั่วโลก
นัยยะของหิมะที่หายไป
การไม่มีหิมะบนภูเขาไฟฟูจิแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสภาพอากาศ กลุ่มสิ่งแวดล้อมและรัฐบาลกำลังใช้เรื่องนี้ในการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
เป้าหมายคือการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนและการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนฯ ความพยายามเหล่านี้ส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกันในการปกป้องความงามตามธรรมชาติของสถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขาไฟฟูจิ เพื่อคนรุ่นต่อไป
หิมะที่หายไปจากภูเขาไฟฟูจิไม่ใช่เพียงความผิดปกติในรูปแบบสภาพอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็นอาการของปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ใหญ่กว่านี้ด้วย เป็นการเตือนใจว่าการกระทำของเราไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราเท่านั้น แต่ส่งผลต่อทั้งโลกด้วย
ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น
หิมะที่ปกคลุมภูเขาไฟฟูจิอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่อการท่องเที่ยว เนื่องจากภูเขาไฟฟูจิที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ยามานาชิ และ Shizuoka กล่าวว่า ภูเขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกของยูเนสโกและเป็นสัญลักษณ์ของความงามตามธรรมชาติของญี่ปุ่น โดยปกติแล้ว ภูเขาลูกนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบทั้งปี ทำให้มีความสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภูเขาไฟฟูจิต้องเผชิญกับปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง โดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายงานปัญหาต่างๆ เช่น ขยะเกลื่อนกลาด สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะที่ไม่เพียงพอ และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอันเนื่องมาจากนักเดินป่าที่เตรียมอุปกรณ์มาไม่เหมาะสม เพื่อตอบโต้ ทางการญี่ปุ่นจึงได้ออกมาตรการควบคุม ภาษีนักท่องเที่ยว ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2024 โดยกำหนดให้ผู้ปีนเขาแต่ละคนต้องชำระเงิน 2,000 เยน (ประมาณ 12.40 ดอลลาร์) เพื่อช่วยระดมทุนสำหรับการบำรุงรักษาและอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของภูเขา และเพื่อควบคุมปริมาณผู้เดินเท้า จึงกำหนดจำนวนนักปีนเขาที่ได้รับอนุญาตในแต่ละวันด้วย
เนื่องจากภูเขาไฟฟูจิต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว การไม่มีหิมะในขณะนี้จึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการจัดการสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาตินี้อย่างยั่งยืน หากฤดูหนาวที่อบอุ่นขึ้นยังคงดำเนินต่อไป อาจเปลี่ยนเสน่ห์ตามฤดูกาลของภูเขาแห่งนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจในพื้นที่โดยรอบที่พึ่งพานักท่องเที่ยวตามฤดูกาลอีกด้วย
ที่มา:.earth.com, travelandtourworld.co.th, abcnews.go.com