สร้างสุขภาวะและความสำเร็จ ปั้นทีม C-Suite เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่โอกาสที่ดีในองค์กร

สร้างสุขภาวะและความสำเร็จ ปั้นทีม C-Suite เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่โอกาสที่ดีในองค์กร

การพัฒนากลยุทธ์ ESG ความเป็นอยู่ที่ดี มุ่งมั่นการทำงานร่วมกันจากทุก ๆ ระดับใน C-Suite นำไปสู่ความเป็นผู้นำและมีสุขภาวะที่ดี ให้กับพนักงานและสังคมรอบข้างด้วยความเข้าใจที่เหมาะสมสอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ เพื่อให้องค์กรอยู่ได้อย่างยั่งยืน

 

 

 

 

 

โดย อาจารย์กฤษณ์ รุยาพร

Co-Founder IDGs Asia Pacific Innovation Center -Leadership Hub Thailand CEO University of Happiness

ผู้แต่งหนังสือขายดี : 

ศาสตร์ผู้นำสู่ความยั่งยืน, เหนือกว่ากำไร, 

Well-Being Leader,  DNA Of Leadership Happiness

 

 

Build the Right C-Suite Team for ESG Well-Being Strategy

                                         

การสร้าง ESG Well-Being Strategy ที่มีประสิทธิภาพในระดับ C-Suite ต้องการความร่วมมือจากผู้บริหารหลายฝ่ายในองค์กร ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้ผู้บริหารใน C-Suite ไม่สามารถร่วมมือกันในการสร้างกลยุทธ์ ESG Well-Being ได้:

 

  1. ขาดความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับ ESG Well-Being

ปัญหา: หลายองค์กรยังคงขาดการศึกษาและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับแนวคิด ESG Well-Being โดยเฉพาะในเชิงปฏิบัติ หลายๆ ครั้งที่ C-Suite ยังเห็น ESG เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) และการมีธรรมาภิบาลที่ดี (Governance) แต่ไม่ได้มองถึง ความเป็นอยู่ที่ดี (Well-Being) ของพนักงานหรือชุมชน

 

  1. การขาดมุมมองที่เชื่อมโยงระหว่าง ESG และผลลัพธ์ทางธุรกิจ

ปัญหา: C-Suite บางครั้งมองว่าการลงทุนใน ESG Well-Being เป็นภาระหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเติบโตทางธุรกิจหรือผลกำไรในระยะสั้น ผู้บริหารด้านการเงิน (CFO) และผู้บริหารด้านการตลาด (CMO) อาจไม่เห็นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่าง ESG Well-Being กับการเพิ่มผลประกอบการและการสร้างมูลค่าทางธุรกิจ ส่งผลให้การสนับสนุนงบประมาณหรือทรัพยากรเพื่อโครงการนี้เป็นไปอย่างจำกัด

 

  1. ขาดความร่วมมือระหว่างแผนก

ปัญหา: ESG Well-Being เป็นเรื่องที่ต้องการการทำงานร่วมกันจากหลายฝ่าย เช่น ฝ่ายบุคคล (HR), ฝ่ายการเงิน (CFO), ฝ่ายการตลาด (CMO), และฝ่ายการดำเนินการ (Operations) แต่การทำงานในแนวดิ่งหรือการทำงานแยกส่วนทำให้ไม่เกิดการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ การขาดการประสานงานระหว่างแผนกทำให้การสร้างกลยุทธ์ ESG Well-Being ไม่สมบูรณ์หรือไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่

 

  1. การขาดการวัดและการติดตามผลที่ชัดเจน

ปัญหา: ผู้บริหารอาจไม่มั่นใจว่าการลงทุนใน ESG Well-Being จะสร้างผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้ เช่น การเพิ่มผลผลิตจากพนักงาน, การลดอัตราการลาออก, หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน  ขาดเครื่องมือหรือดัชนีชี้วัดที่ชัดเจนในการประเมินผลการดำเนินงานทำให้ผู้บริหารไม่เห็นความสำคัญหรือไม่เชื่อมั่นในการลงทุนใน ESG Well-Being

 

  1. การต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจากค่านิยมองค์กรที่มีอยู่

ปัญหา: บางองค์กรมีวัฒนธรรมที่เน้นผลลัพธ์ทางการเงินหรือผลการดำเนินธุรกิจในระยะสั้น ทำให้การนำแนวคิด ESG Well-Being มาใช้ต้องเผชิญกับความต้านทานจากผู้บริหารบางกลุ่มที่เห็นว่าแนวทางนี้ไม่สอดคล้องกับค่านิยมและเป้าหมายที่มีอยู่

 

  1. ขาดความเชื่อมโยงระหว่าง ESG กับความต้องการของพนักงาน

ปัญหา: หลายองค์กรยังคงไม่ได้ทำความเข้าใจในสิ่งที่พนักงานต้องการจริง ๆ เกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดี เช่น ความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว, ความหลากหลายและการยอมรับในที่ทำงาน, หรือการดูแลสุขภาพจิต การที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของพนักงานทำให้การลงทุนใน Well-Being ดูเหมือนเป็นแค่การดำเนินการที่ไม่เกิดผลในระยะยาว และทำให้พนักงานรู้สึกไม่พึงพอใจ

 

  1. การขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างผู้บริหาร

ปัญหา: C-Suite อาจขาดการสื่อสารและการทำงานร่วมกันในการสร้างและดำเนินการกลยุทธ์ ESG Well-Being ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดหรือความไม่เห็นด้วย หากไม่มีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพหรือไม่สามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันได้ การร่วมมือจาก C-Suite จะไม่เกิดขึ้น และกลยุทธ์ ESG Well-Being ก็จะไม่สำเร็จ

 

  1. การขาดแคลนทรัพยากรและงบประมาณ

ปัญหา: การลงทุนในกลยุทธ์ ESG Well-Being ต้องใช้ทรัพยากรทั้งด้านเวลาและงบประมาณ ซึ่งบางครั้งผู้บริหารมองว่าไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรเหล่านี้ได้เนื่องจากมีความสำคัญที่ต้องจัดการด้านอื่น ๆ เช่น ผลประกอบการทางการเงิน

 

การแก้ไข Pain Points และการส่งเสริมการร่วมมือ:

สร้างการศึกษาและความเข้าใจร่วมกัน: การจัดอบรมและสัมมนาเกี่ยวกับ ESG Well-Being ให้กับผู้บริหารทุกคนเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน

 เชื่อมโยง ESG Well-Being กับผลลัพธ์ทางธุรกิจ: ผู้บริหารควรเห็นว่าการลงทุนใน ESG Well-Being สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น การลดต้นทุนในระยะยาว, การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, และการปรับปรุงความพึงพอใจของพนักงาน

พัฒนาระบบวัดผลและ KPI ที่ชัดเจน: การสร้างดัชนีชี้วัดและเครื่องมือในการติดตามผลเพื่อให้เห็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมและสามารถรายงานต่อผู้บริหารได้

ส่งเสริมการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: การสร้างช่องทางสื่อสารที่ดีระหว่างแผนกต่าง ๆ และการมีการประชุมร่วมกันเพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินกลยุทธ์ ESG Well-Being

การเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นใน C-Suite และการสร้างความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง ESG Well-Being Strategyจะช่วยให้องค์กรสามารถนำกลยุทธ์นี้ไปสู่ความสำเร็จและสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาว

ทีมผู้บริหารในระดับ C-Suite ที่มีความเชี่ยวชาญในด้าน ESG Well-Being (ความยั่งยืนด้านสังคมและความเป็นอยู่ที่ดี) เป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการบรรลุทั้งเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจและการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน แนวคิด ESG Well-Being จะเน้นที่การดูแลสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดีของทั้งพนักงานและชุมชนรอบข้าง รวมถึงการส่งเสริมสังคมที่มีความยุติธรรมและเสมอภาค

ในการสร้างทีม ESG Well-Being ที่ทรงพลังในระดับ C-Suite เราควรพิจารณาองค์ประกอบที่สำคัญในแต่ละบทบาทเพื่อให้มีความเชี่ยวชาญและการบูรณาการที่สามารถขับเคลื่อนกลยุทธ์ ESG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  1. Chief Well-Being Officer (CWBO)

บทบาท: CWBO เป็นผู้บริหารที่มุ่งเน้นในเรื่องการส่งเสริมสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดีของทั้งพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก โดยมุ่งมั่นในการพัฒนานโยบายและโครงการที่ช่วยเพิ่มความสุขและความเป็นอยู่ที่ดี

ทักษะที่สำคัญ: ความเข้าใจด้านจิตวิทยาองค์กร, การบริหารทรัพยากรมนุษย์, การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวัดผลลัพธ์ด้าน Well-Being

ความสำคัญ: CWBO เป็นผู้ขับเคลื่อนการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน โดยสนับสนุนทั้งการทำงานที่มีความยืดหยุ่น การรักษาสมดุลชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว และการดูแลสุขภาพกายและจิตใจของพนักงาน

 

  1. Chief Sustainability Officer (CSO)

บทบาท: CSO จะรับผิดชอบในการสร้างกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เชื่อมโยงกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับชุมชนและสังคมโดยรวม

ทักษะที่สำคัญ: ความเชี่ยวชาญในด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน, การวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การพัฒนาโครงการที่สนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ

ความสำคัญ: CSO มีบทบาทในการทำให้แน่ใจว่าองค์กรมุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยมีการผนึกกำลังกับการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของทั้งพนักงานและผู้บริโภค

 

  1. Chief Human Resources Officer (CHRO)

บทบาท: CHRO จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เสมอภาคและยุติธรรม รวมถึงการดูแลเรื่องความหลากหลาย (Diversity), ความเสมอภาค (Equity), และการรวมกลุ่ม (Inclusion) ในองค์กร

ทักษะที่สำคัญ: ความสามารถในการพัฒนาและจัดการโปรแกรมการฝึกอบรมด้านความหลากหลายและการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่รวมกลุ่ม, การจัดการสวัสดิการพนักงาน, การสร้างนโยบายที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี

ความสำคัญ: CHRO จะช่วยให้พนักงานรู้สึกได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยการส่งเสริมความหลากหลายและความเสมอภาคภายในองค์กร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงาน

 

  1. Chief Financial Officer (CFO)

บทบาท: CFO จะช่วยให้การลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ ESG Well-Being สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยดูแลการจัดสรรงบประมาณและประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ ESG

ทักษะที่สำคัญ: ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเพื่อประเมินผลกระทบของการลงทุนในโครงการ ESG, การพัฒนารายงาน ESG และการวิเคราะห์ข้อมูลการเงินที่เกี่ยวข้อง

ความสำคัญ: CFO จะต้องประเมินว่าองค์กรสามารถลงทุนในความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างไรในระยะยาว และให้ความสำคัญกับผลกระทบทางการเงินจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับ ESG

 

  1. Chief Marketing Officer (CMO)

บทบาท: CMO มีบทบาทในการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยการสื่อสารการลงทุนใน ESG Well-Being ไปยังลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ทักษะที่สำคัญ: ความสามารถในการใช้การตลาดเพื่อส่งเสริมโครงการ ESG, การสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี

ความสำคัญ: CMO จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและการรับรู้ที่ดีจากสาธารณะเกี่ยวกับการมุ่งมั่นขององค์กรในเรื่อง ESG และ Well-Being

 

  1. Chief Legal Officer (CLO)

บทบาท: CLO จะรับผิดชอบในการดูแลและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนและความเป็นอยู่ที่ดี เช่น กฎหมายแรงงาน, กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม, และกฎหมายด้านสิทธิของมนุษย์

ทักษะที่สำคัญ: ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม, การประเมินความเสี่ยงทางกฎหมายจากการดำเนินโครงการ ESG

ความสำคัญ: CLO ช่วยให้แน่ใจว่าองค์กรปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับ ESG และ Well-Being ทั้งในด้านสิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

 

  1. Chief Technology Officer (CTO)

บทบาท: CTO จะมีบทบาทในการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนความยั่งยืนและความเป็นอยู่ที่ดี เช่น การใช้เทคโนโลยีในการลดการปล่อยคาร์บอน, การพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยในการดูแลสุขภาพพนักงาน

ทักษะที่สำคัญ: ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน, การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงสุขภาวะของพนักงาน, การพัฒนาแอปพลิเคชันหรือระบบที่ช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดี

ความสำคัญ: CTO สามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงสุขภาวะของพนักงานและผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนในองค์กร

 

การร่วมมือเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดี

การทำงานร่วมกันในทีม ESG Well-Being ในระดับ C-Suite ต้องเน้นความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อให้การพัฒนาในด้านต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน, การรักษาความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว, การสร้างความยั่งยืนในองค์กร รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ ESG

 ทีมผู้บริหาร ESG Well-Being ที่ทรงพลังจะต้องประกอบด้วยผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายด้าน ทั้งในด้านการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความยุติธรรมและเสมอภาค, การดูแลสุขภาวะของพนักงาน, การลงทุนในความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม, และการสื่อสารการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การดำเนินการในด้าน ESG Well-Being ขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน.