ท่ามกลางความยากจนของโลกที่มีคน 1 ใน 11 คนเผชิญกับความหิวโหย แต่อาหารกว่า 30% กลับถูกทิ้งเป็นขยะอาหาร เป็นมลภาวะกระทบสิ่งแวดล้อม จากการปล่อยก๊าซมีเทน ในการประชุม COP 29 ครั้งนี้ ได้นำปัญหาขยะอาหารขึ้นสู่เวทีการประชุม โดยยกให้เป็น ‘วาระโลก’ ที่ต้องเร่งแก้
อาหารมากกว่า 30% สูญหายหรือถูกทิ้งทุกปี !
ตัวเลขนี้ยิ่งน่าตกใจมากขึ้นอีก เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้คนทั่วโลกที่หิวโหยต้องการอาหาร โดยสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ผู้คนราว 733 ล้านคนเผชิญกับความหิวโหยในปี 2566 หรือคิดเป็น 1 ใน 11 คนทั่วโลก ดังนั้น อาหารที่ทิ้งไม่เพียงเป็นการจัดการที่ขาดประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำทางสังคมอีกด้วย เนื่องจากอาหารที่ถูกทิ้งไปบางส่วน สามารถนำกลับมาเป็นอาหาร บริโภคได้
ขยะอาหาร ไม่เพียงสะท้อนปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำ แต่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล เนื่องจากเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG)
ดังนั้น ‘การลดขยะอาหาร’ ด้วยการส่งเสริมให้ผู้คนจัดเก็บอาหารอย่างถูกวิธีอาจช่วยยืดอายุอาหารและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างความมั่นคงทางอาหาร และส่งเสริมระบบอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้คนบนโลก
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาผู้คนไม่ได้เมินเฉยต่อปัญหาดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยจะเห็นธุรกิจขนาดใหญ่ สตาร์ทอัพ และองค์กรไม่แสวงหากำไรหลายแห่ง ต่างตระหนักว่า ในแต่ละปี อาหารมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์และแคลอรี่ถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ จนเกิดการระดมทุนเพื่อการลดขยะอาหาร กระตุ้นให้ลูกค้าหลีกเลี่ยงการทิ้งอาหาร และบริจาคอาหารให้กับองค์กรการกุศลมากขึ้น เป็นต้น
ขยะอาหารคืออะไร ?
เมื่อเราพูดถึงขยะอาหาร ไม่ได้หมายถึงเพียงอาหารที่เน่าเสีย หรืออาหารที่ไม่ได้กินจากโต๊ะในร้านอาหารชั้นดีเท่านั้น โดยขยะอาหารหมายรวมถึงอาหารที่สูญหายหรือถูกทิ้งในทุกขั้นตอนของระบบอาหาร รวมถึงการไม่กินอาหารเหลือ แม้จะยังไม่เน่าเสีย เป็นต้น
การสูญเสียอาหารคืออะไร?
‘การสูญเสียอาหาร’ หมายถึง ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ป่าไม้ และประมงที่ไม่ได้รับประทาน เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการผลิตและจัดจำหน่ายอาหาร นอกจากนี้ยังเกิดจากปริมาณหรือคุณภาพของอาหารที่ลดลง อีกด้วย
‘ขยะอาหาร’ ยังหมายรวมถึง อาหารที่รับประทานได้ ที่ตั้งใจจะบริโภค แต่กลับถูกทิ้งหรือหมดอายุ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น ระหว่างการเตรียมอาหาร การขาย หรือการให้บริการอาหาร ได้แก่ ขยะจากจาน อาหารบูด และเปลือกอาหาร
ทั้งนี้ ‘ประเทศร่ำรวย’ นับเป็นประเทศที่มีขยะมากที่สุด ซึ่งมักจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ต่อการสูญเสียและการสิ้นเปลืองอาหาร
‘การสูญเสียและสิ้นเปลืองอาหาร’ เป็นคำที่ใช้เพื่อกำหนดผลรวมของความไม่มีประสิทธิภาพจากอาหารที่ไม่ได้ใช้ในระบบอาหาร โดยท้ายที่สุด คำนี้ช่วยให้นักวิจัยอธิบายขอบเขตที่กว้างของการศึกษาได้อย่างชัดเจน
ขยะทั่วโลก: สัดส่วนของขยะอาหารมีเท่าใด?
อาหารสูญเปล่า มีมูลค่าสูงถึง 7.8 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้อาหารที่ผลิตได้ มากกว่า 1 ใน 3 (ประมาณ 2,500 ล้านตัน) สูญหายหรือถูกทิ้งทุกปี โดย 1 ใน 3 เกิดขึ้นในขั้นตอนการผลิตอาหาร โดย บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group:BCG) ยังประเมินว่า อาหารที่สูญเปล่าเหล่านี้ รวมๆกันแล้วมูลค่า สูงถึง 230,000 ล้านดอลลาร์ ( 7.8 ล้านล้านบาท)
แคลอรี่ที่สูญเสียจากขยะอาหาร
คิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของแคลอรี่อาหารทั้งโลก
นักวิจัยประเมินว่า ปริมาณแคลอรีจากอาหารที่สูญเสียไปจากขยะอาหารนั้นคิดเป็นประมาณ 24% ของแคลอรีจากอาหารทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น สหประชาชาติรายงานว่าประชากรโลกประมาณ 1 ใน 3 ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่มีรายได้น้อย ไม่มีอาหารเพียงพอในปี 2020 (พ.ศ.2563) ซึ่งเพิ่มขึ้น 320 ล้านคนจากปีก่อนหน้า
แนวโน้มดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดว่าระดับของอาหารที่ถูกทิ้งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 1 ใน 3 ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) ทำให้การซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและการพัฒนาแรงจูงใจจากรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวที่ต้องการอาหารมีความสำคัญมากกว่าที่เคย
ตัวเลขผู้หิวโหยเพิ่มสูงต่อเนื่อง 3 ปี
UN เผยตัวเลขผู้หิวโหยเพิ่มสูงต่อเนื่อง 3 ปี ขณะที่วิกฤตโลกทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้คนราว 733 ล้านคนเผชิญกับความหิวโหยในปี 2566 หรือคิดเป็น 1 ใน 11 คนทั่วโลก และคิดเป็น 1 ใน 5 คนในแอฟริกา ตามรายงานสถานะความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการของโลก (SOFI) ล่าสุด ที่เผยแพร่เมื่อวันนี้โดยหน่วยงานเฉพาะทาง 5 แห่งของสหประชาชาติ
รายงานประจำปีซึ่งเปิดตัวในปี 2567 ในบริบทของ การประชุมระดับรัฐมนตรี คณะทำงานพันธมิตรระดับโลก G20 เพื่อต่อต้านความหิวโหยและความยากจนในบราซิล เตือนว่าโลกกำลังล้มเหลวอย่างมากในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG) ในข้อ 2 การขจัดความหิวโหยให้หมดไปภายในปี 2030 รายงานระบุว่าโลกถอยหลังไป 15 ปี โดยระดับของภาวะทุพโภชนาการเทียบได้กับระดับในปี 2008-2009 (พ.ศ.2551-2552)
แนวโน้มในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่เผชิญกับปัญหาความหิวโหยยังคงเพิ่มขึ้นในแอฟริกา (20.4 %) และยังคงทรงตัวในเอเชีย (8.1 %) ถือเป็นความท้าทายเนื่องจากภูมิภาคดังกล่าว เป็นที่ตั้งของประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกที่เผชิญกับปัญหาความหิวโหย ขณะที่ละตินอเมริกา (6.2 เปอร์เซ็นต์) ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2022 (พ.ศ.2565) ถึงปี 2023 (พ.ศ.2566) ปัญหาความหิวโหยเพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันตก แคริบเบียน และภูมิภาคย่อยของแอฟริกาเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้หากแนวโน้มดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป ประชากรราว 582 ล้านคนจะขาดสารอาหารเรื้อรังในปี 2030 (พ.ศ.2573) โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในแอฟริกา
โดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กองทุนระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาเกษตรกรรม (IFAD) กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) โครงการอาหารโลกของสหประชาชาติ (WFP) และองค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่าการคาดการณ์นี้ใกล้เคียงกับระดับที่เห็นในปี 2015 (พ.ศ.2558) เมื่อ มีการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนมาใช้ ซึ่งนับเป็นความคืบหน้าที่หยุดชะงักอย่างน่ากังวล
ขยะอาหาร: ปัญหาคืออะไร?
ขยะอาหารอาจดูไม่เป็นอันตรายเหมือนกับสารที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพอื่นๆ แต่เมื่อขยะอาหารเน่าเสีย ก็จะปล่อย ‘ก๊าซมีเทน’ สู่ชั้นบรรยากาศโดยไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงผลที่ตามมาของขยะอาหารจะช่วยให้เราจัดการกับปัญหานี้ได้ดีขึ้นและช่วยป้องกันอาหารเหลือทิ้ง
รอยเท้าคาร์บอนจากขยะอาหาร
ในปี 2013 (พ.ศ.2556) องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประมาณการว่ามีอาหารเหลือทิ้ง 1.3 กิกะตันต่อปีซึ่งปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 3.3 กิกะตัน การประมาณการนี้ไม่รวมการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ซึ่งจะทำให้ตัวเลขสูงขึ้นไปอีก
ขยะอาหารคิดเป็น 6%
ของการปล่อยมลพิษทั้งโลก
งานวิจัยที่จัดทำโดย Our World In Data ประมาณการว่าขยะอาหารคิดเป็นประมาณ 6% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดของโลก
โดย 6% นี้ ประมาณ 2 ใน 3 ของการปล่อยมลพิษเป็นผลมาจากปริมาณอาหารที่สูญเสียไป และอีกหนึ่งในสามที่เกิดจากขยะอาหาร
สาเหตุหลักของการสิ้นเปลืองอาหาร
การสิ้นเปลืองอาหาร มีสาเหตุบางประการที่คาดไม่ถึงที่ทำให้มีอาหารเหลือทิ้ง เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า ทำไมผู้คนจึงไม่กินอาหารให้หมดเป็นจำนวนมากในร้านอาหารทั้งในระดับค้าปลีกและผู้บริโภค แต่สาเหตุที่ไม่ชัดเจนบางประการของการสูญเสียอาหารนั้นเกิดจากกระบวนการทางการเกษตร เช่น มาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร และความต้องการของผู้บริโภค
ที่ผ่านมามีรายงานว่า เกษตรกรชาวเคนยาสูญเสียพืชผลของตนให้กับตั๊กแตนในปี 2020 (พ.ศ.2563) ครั้งสุดท้ายที่ตั๊กเแตนแพร่พันธุ์ในระดับนี้ในปี 2003-2005 (พ.ศ.2546- 2548) ส่งผลให้พืชผลเสียหายมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ ตั๊กแตนส่วนใหญ่ถูกศัตรูพืชทำลาย ดังนั้นการปรับปรุงการเข้าถึงยาฆ่าแมลงจึงเป็นวิธีหนึ่งในการลดการสูญเสียอาหาร
นอกจากสาเหตุตามธรรมชาติแล้ว ความชอบส่วนตัวยังส่งผลต่ออาหารเหลือทิ้งอีกด้วย การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อผลิตภัณฑ์มักหลีกเลี่ยง ผลิตภัณฑ์ที่มีหน้าตาไม่สวยงาม ในความเป็นจริง ผลิตภัณฑ์ที่สามารถรับประทานได้หนึ่งในห้าที่มีตำหนิบนพื้นผิว เติบโตในรูปร่างที่ไม่คุ้นเคย หรือมีสีสันที่ไม่คุ้นเคยจะถูกทิ้งจากร้านขายของชำ ซึ่งหมายความว่าประเทศที่มีรายได้สูงมีส่วนทำให้เกิดขยะอาหารตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกในระดับการค้าปลีก และองค์การอาหารและเกษตรกรรมไม่สามารถบรรเทาการสูญเสียอาหารนี้ได้ ข้อมูลของ Our World In Data ระบุเช่นนั้น
ทั้งนี้ การสูญเสียอาหารจากสภาวะอากาศ ยังทำให้ขาดความมั่นคงทางอาหาร โดยวงจรการเจริญเติบโตและการเก็บเกี่ยวคาดเดาได้ยากขึ้น เช่น ภาวะน้ำค้างแข็งนอกฤดูกาลต้นฤดูใบไม้ผลิ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอื่นๆ มากมายส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งราคาสินค้าเกษตรและอาหาร รวมถึงความสามารถในการคาดการณ์เวลาที่เหมาะสมในการปลูกและเก็บเกี่ยว
ปัญหาเหล่านี้มีผลกระทบเป็นลูกโซ่กับอุปทาน (การผลิต) และอุปสงค์ (ความต้องการ) สินค้าอาจเสียหายก่อนเวลาอันควรเนื่องจากการขนส่งล่าช้า คำสั่งซื้อ หรือความพร้อมในการจัดเก็บที่ไม่ดี
นอกจากนี้ บางครั้งข้อบังคับที่ตั้งใจดีเพื่อปกป้องผู้คนจากความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของอาหารก็กลับมีผลโดยไม่ตั้งใจ คือ การนำอาหารที่รับประทานได้ออกจากชั้นวางเร็วเกินไป แม้ว่าอายุการเก็บรักษาของสินค้าที่เก็บไว้ในตู้กับข้าวอาจเก็บไว้ได้นานกว่าที่ระบุไว้ในวันที่พิมพ์ก็ตาม
นี่เป็นเพียงสาเหตุบางประการจากสาเหตุมากมายที่ทำให้เกิดการสูญเสียและทิ้งอาหาร
ขยะอาหาร เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญจากการประชุม COP29
ทั้งนี้ในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of the Parties – COP) ครั้งที่ 29 หรือ COP29 จัดขึ้นที่ บากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11 ถึง 22 พฤศจิกายน 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันเป้าหมายของข้อตกลงปารีส และการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ ‘อาหาร’ ถือเป็นส่วนสำคัญของการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลังจากที่การประชุมCOP28 ที่ดูไบเมื่อปีที่แล้ว ได้หยิบยกเรื่องอาหารมาหารือมากขึ้น
COP 29 โฟกัสเรื่องอาหาร
ทั้งนี้ หลายคนมองว่า COP28 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับอาหารในฐานะองค์ประกอบหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในมุมมองของจูเลียตต์ ทรอนชอน ( Juliette Tronchon) หัวหน้าฝ่ายกิจการสหประชาชาติขององค์กร โปรเว็ก อินเตอร์เนชั่นแนล (ProVeg International) ระบุว่า การประชุม COP29 ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องอาหาร ไม่น้อยไปกว่า COP28
“เราไม่ได้ให้ความสำคัญน้อยลงกว่าปีที่แล้ว” เธอกล่าวกับฟู้ดเนวิเกเตอร์(FoodNavigator)
โดยปีนี้จะเป็นปีที่แตกต่างออกไป ทรอนคอน (Tronchon) บอกว่า การดำเนินการด้านศูนย์กลางอาหาร จะรวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเข้าด้วยกัน เพื่อ “รวมชุมชนระบบอาหารให้เป็นหนึ่ง” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแจ้งให้สังคมพลเมืองและผู้กำหนดนโยบายทราบ
วัน อาหาร การเกษตร และน้ำ
นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้ว COP28 ได้จัดวันอาหารขึ้นเป็นครั้งแรก ในปีนี้ ได้มีการจัดวันอาหาร เกษตรกรรม และน้ำ ในวันที่ 19 พฤศจิกายน โดยเน้นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมารวมตัวกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอาหารและการเกษตร โดยจะเรียกหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมปฏิญญาว่าด้วยการลดก๊าซมีเทนจากขยะอินทรีย์
แม้ว่าจุดเน้นของคำประกาศนี้จะอยู่ที่ขยะอินทรีย์เป็นส่วนใหญ่ แต่ทรอนคอน หวังว่าจะเน้นไปที่ตัวปล่อยก๊าซมีเทนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
“เราหวังว่าการประกาศครั้งนี้จะเน้นไปที่ปัจจัยสำคัญอื่นๆ เช่น ระบบอาหาร และไม่เพียงแต่ขยะอินทรีย์เท่านั้น แต่รวมถึงการเลี้ยงสัตว์ด้วย” เธอบอก
โครงการริเริ่มฮาร์โมนียา (Harmoniya Initiative) คืออะไร ?
ในงานดังกล่าวจะมีการเปิดตัว โครงการริเริ่มฮาร์โมนียา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประธาน COP29 และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกร ชาวบ้าน และชุมชนชนบทมีเสียง
เริ่มตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน (วันอาหาร เกษตรกรรม และน้ำ) โครงการนี้จะรวบรวมโครงการริเริ่มในระดับโลกและระดับภูมิภาคมากกว่า 90 โครงการ รวมถึงเครือข่าย กลุ่มพันธมิตร และหุ้นส่วนที่ทำงานในด้านสภาพภูมิอากาศ การเงิน และ/หรือระบบเกษตรอาหาร
โฆษกของ FAO กล่าวว่า ด้วยความคิดริเริ่มที่มีมากมาย จึงมีความจำเป็นต้องมีความสอดคล้อง การจัดแนวทาง และแบ่งปันบทเรียนที่ได้เรียนรู้เพื่อสร้างผลกระทบที่มากขึ้นในการเชื่อมโยงระหว่างสภาพภูมิอากาศ การเงิน และระบบเกษตรอาหาร
โครงการริเริ่มนี้มุ่งหวังที่จะส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการแบ่งปันความรู้ในภาคส่วนนี้ ตลอดจนสนับสนุนการลงทุนในระบบเกษตรอาหารที่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนี้ ยังจะพยายามแก้ไขช่องว่างระหว่างธนาคารพัฒนาพหุภาคี (MDB) และธนาคารพัฒนาสาธารณะด้านการเกษตรแห่งชาติ (PDB) ด้วยการอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างทั้งสองกลุ่มและพัฒนาการทำงานร่วมกัน
การประชุมครั้งนี้จะมุ่งเน้นที่การพิจารณาถึงความกังวลของเกษตรกรในการดำเนินงานตามแผนริเริ่มและไม่ละเลย และเพื่อให้มีเงินทุนไหลเข้าไปยังเกษตรกรเหล่านั้น ประธาน COP29 และ FAO กำลังทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อการพัฒนาพหุภาคีเพื่อจัดทำแนวทางสำหรับเกษตรกรและองค์กรด้านการเกษตรในการขอรับเงินทุน นอกจากนี้ การประชุมครั้งนี้ยังมุ่งเน้นที่จะเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลของเกษตรกรอีกด้วย ‘โฆษก FAO’ กล่าว
ที่มา: https://greenly.earth/en-us/blog/ecology-news/global-food-waste-in-2022
https://www.foodnavigator.com/Article/2024/11/04/COP29-A-preview