ความเสี่ยงที่มากเกินไปสำหรับบริษัทประกันภัย ทำให้ ‘ธุรกิจประกันภัยในเครือ’ เติบโตถึง 200,000 ล้านดอลลาร์

by วันทนา อรรถสถาวร, 10 กันยายน 2567

ขณะนี้ตลาด ‘การประกันภัยภายในองค์กร’ มีมูลค่าทะลุสถิติ 200,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 6.8 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งนี้เหตุผลเบื้องหลังการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้แสดงให้เห็นว่าโลกที่ร้อนขึ้นและมีเสถียรภาพน้อยลงกำลังสร้างความเสี่ยงใหม่ให้กับบริษัทต่างๆ ทำให้บริษัทประภัยและผู้รับประกันภัยต่อหลายแห่ง หันหลังให้บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล

 

 

การประกันภัยแบบ Captive Insurance ‘การประกันภัยในเครือ’ หรือการประกันภัยภายในองค์กร’ เป็นบริษัทประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยเป็นเจ้าของและควบคุมโดยสมบูรณ์ โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อรับประกันความเสี่ยงของเจ้าของ และผู้เอาประกันภัยจะได้รับประโยชน์จากผลกำไรจากการรับประกันของบริษัทประกันภัยในเครือ กำลังเป็นแนวโน้มใหญ่บริษัทต่าง ๆ สร้างเครื่องมือคุ้มครองของตนเอง และกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น

ตามรายงานของนายหน้าประกันภัยบริษัท เอออน พีแอลซี (Aon Plc) กล่าวว่า บริษัทต่าง ๆ กำลังใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือเพื่อหลีกเลี่ยงราคาที่สูงเกินไปที่กำหนดโดยบริษัทประกันภัยภายนอก และนี่เป็นการพัฒนาที่เด่นชัดโดยเฉพาะในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จอห์น อิงลิช (John English) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบริหารจัดการบริษัทประกันภัยและบริษัทขุดเจาะน้ำมันของเอออน กล่าวในการสัมภาษณ์ว่า ปัจจุบัน บริษัทน้ำมันและเหมืองแร่ใช้บริษัทในเครือมากขึ้นซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัยภายนอกไม่สามารถจ่ายได้หรือมูลค่าการคุ้มครองไม่น่าพึงพอใจเมื่อพิจารณาจากราคาและกำลังการผลิตในความเป็นจริง บริษัทประกันภัยและผู้รับประกันภัยต่อหลายแห่ง หันหลังให้บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลเสียด้วยซ้ำ 

นับเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานที่สนับสนุนการทำงานของตลาด เช่น ต้นทุนทางเศรษฐกิจในการครอบคลุมผลกระทบของตลาด รายงานล่าสุดของเอออนระบุว่าตลาดประกันภัยแบบ ‘บริษัทในเครือ’ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีบริษัทเกือบ 3,000 แห่งที่สำรวจประมาณหนึ่งในสี่ที่ระบุว่าได้ใช้วิธีการดังกล่าว โดยในปี 2021 (พ.ศ. 2564) ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 17% แต่ขณะนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

ปีเตอร์ คาร์เตอร์ (Peter Carter) หัวหน้าฝ่ายสภาพอากาศและบริษัทนายหน้าวิลลิส ทาวเวอร์ส วัตสัน (Willis Towers Watson) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเสี่ยงทั้งหมดดังที่ทราบ และบริษัทนายหน้ายังมีบทบาทในการดูดซับแรงกระแทก

‘การประกันภัยในเครือ’ ทำงานอย่างไร:

ข้อตกลงของการทำ ‘ประกันภัยในเครือ’ มักทำหน้าที่เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษที่สร้างขึ้นในการประกันซ้ำความเสี่ยงของบริษัทแม่ที่จัดตั้งข้อตกลงดังกล่าว บริษัทต่าง ๆ โอนเบี้ยประกันไปยังบริษัท ‘ประกันภัยเฉพาะกิจ’ ของตนเอง (SPV) บางครั้งโครงสร้างอาจใช้เพื่อแบ่งความคุ้มครองกับบริษัทประกันภัยภายนอก หรือใช้โซลูชันการโอนความเสี่ยงทางเลือก

บริษัทที่ถูกควบคุมให้ผลประโยชน์ด้านภาษีและบริษัทที่ใช้บริษัทเหล่านี้สามารถนำเงินสดส่วนเกินจากเบี้ยประกันมาลงทุนใหม่ได้ ประกันภัยของ ‘บริษัทการประกันภัยในเครือ’ ใช้เพื่อครอบคลุมความเสี่ยงต่างๆ ตั้งแต่ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมไปจนถึงภัยคุกคามจากการโจมตีทางไซเบอร์ ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่ถูกควบคุมไม่ได้ระบุขอบเขตทั้งหมดที่บริษัทต่างๆ ทำประกันภัยภายในบริษัท นั่นเป็นเพราะบริษัทสามารถเลือกทำประกันภัยด้วยตนเองได้เช่นกัน โดยบริษัทจะเก็บเงินไว้เพื่อครอบคลุมการสูญเสียในอนาคตโดยไม่ต้องจัดตั้ง SPV ที่ได้รับการควบคุม

ตลาดประกันภัย ‘บริษัประกันภัยภายในเครือ’ มีมูลค่าเบี้ยประกันภัยทะลุ 200,000 ล้านดอลลาร์(ราว 6.8 ล้านล้านบาท)ในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล ตามข้อมูลที่วิลลิส ทาวเวอร์ส วัตสัน แบ่งปัน

สภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้บริษัทประกันภัยเชิงพาณิชย์หลักๆ ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาไปจนถึงยุโรปต้องขึ้นราคาจนทำให้บริการของพวกเขาเข้าถึงอุตสาหกรรมในกลุ่มฟอสซิลได้ยากขึ้น ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนามีตั้งแต่สาธารณูปโภคไปจนถึงผู้ประกอบการฟาร์มพลังงานหมุนเวียน

แอนนา เปเรรา ( Anna Pereira)รองประธานอาวุโสของโซลูชันความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ (Strategic Risk Solutions) ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันภัยเชิงรุกและอดีตหัวหน้าฝ่ายธนาคารเพื่อการประกันภัยและเชิงรุกที่สำนักงานเบอร์มิวดาของบริษัท เอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ จำกัด (HSBC Holdings Plc) กล่าว

 

 

ในขณะเดียวกัน บริษัทประกันภัยและผู้รับประกันภัยต่อจำนวนเพิ่มมากขึ้นกำลังปฏิเสธบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล เนื่องจากบริษัทประกันภัยเชิงพาณิชย์เหล่านี้ก็พยายามปฏิบัติตามนโยบายด้านสภาพอากาศและการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานที่สะอาดขึ้น ปัจจุบัน บริษัทประกันภัย 46 แห่งทั่วโลกมีข้อจำกัดบางประการต่อบริษัทถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซ ตามข้อมูลของ Insure Our Future ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรที่ไม่แสวงหากำไรระบุ

บริษัท บีเอชพี กรุ๊ป จำกัด (BHP Group Ltd.), บริษัท โททัลเอเนอร์จี้ส์ เอสอี (TotalEnergies SE) , บริษัท เอเนล เอสพีเอ (Enel SpA ), บริษัท บีพี จำกัด (มหาชน) ( BP Plc ), บริษัท เกล็นคอร์ จำกัด (Glencore Plc ) และ บริษัท เชลล์ จำกัด (มหาชน) (Shell Plc) ต่างจัดตั้งหน่วยงานภายในเพื่อครอบคลุมความเสี่ยงตามเอกสารที่บริษัทยื่นต่อศาล บริษัทสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ปัจจุบันพึ่งพา ‘บริษัทประกันภัยในเครือ’ ได้แก่ บริษัท ทุ่งเกลา รีซอร์สเซส จำกัด (Thungela Resources Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทแยกตัวออกมาจากบริษัท แองโกล อเมริกัน จำกัด (Anglo American Plc) นอกจากนี้บริษัท ไวท์เฮเว่น โคล จำกัด (Whitehaven Coal Ltd.) ผู้ผลิตถ่านหินของออสเตรเลียกล่าวว่ากำลังดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานภายในเช่นกัน

ในบางกรณี โปรแกรมที่ได้รับทุนจากรัฐบาลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากบริษัทประกันภัยเชิงพาณิชย์กำลังถอนตัว ในขณะเดียวกัน นอร์ทดาโคตาแนะนำให้บริษัทต่างๆ หันไปพึ่งบริษัทในเครือ ในรัฐซึ่งเป็นแหล่งสำรองน้ำมันดิบของอเมริกา 10% และเป็นแหล่งถ่านหินลิกไนต์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก บริษัทประกันภัยไม่กี่แห่งที่ยังเต็มใจให้ความคุ้มครองบริษัทถ่านหินบริสุทธิ์ในขณะเดียวกันก็กำลังปรับขึ้นอัตราและจำกัดการต่ออายุกรมธรรม์ ตามการวิเคราะห์ของธนาคารแห่งนอร์ทดาโคตา

การเพิ่มขึ้นของการประกันภัยที่จัดตั้งจากบริษัทในเครืออาจเป็นข่าวร้ายสำหรับสภาพอากาศ ตามที่อาเรียล เลอ บูร์โดเน็ก(Ariel Le Bourdonnec) นักรณรงค์ด้านการประกันภัยจาก Reclaim Finance ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร กล่าว

เขากล่าวว่า "บริษัทประกันเป็นส่วนเงาของอุตสาหกรรมประกันภัย ที่ทำให้สามารถรับประกันสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดมลพิษได้อย่างต่อเนื่อง ในที่สุด การพัฒนาดังกล่าวอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสีเขียวล่าช้าออกไป"

บริษัทที่ทำประกันภัยเองอาจประเมินความเสี่ยงที่เผชิญต่ำเกินไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้คือ BP ซึ่งในปี 2010 (พ.ศ.2553) ใช้บริการบริษัทประกันภัยในเครือ บริษัท จูปิเตอร์ประกันภัย จำกัด (Jupiter Insurance Ltd.) เพื่อคุ้มครองแท่นขุดเจาะน้ำมันดีพวอเทอร์ฮอไรซัน (Deepwater Horizon) เมื่อแท่นขุดเจาะดังกล่าวระเบิดและจมลง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย และเกิดการรั่วไหลของน้ำมันนอกชายฝั่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ข้อตกลงประกันภัยในเครือของ BP จำกัดอยู่ที่ 700 ล้านดอลลาร์ (23,912 ล้านบาท) และไม่มีข้อตกลงประกันภัยใด ๆ เกิดขึ้นกับ BP ส่งผลให้ต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นเป็นหมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่นั้นมา

ออน อิงลิช (Aon's English) กล่าวว่ามีความเสี่ยงที่การประกันภัย ‘บริษัทในเครือ’ จะยืดอายุสินทรัพย์ที่มีการปล่อยมลพิษสูง "หากทำอย่างไม่ลืมหูลืมตา" แต่การจัดการดังกล่าวยังช่วยให้บริษัทต่างๆ มีเวลาปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย 


ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-09-03/risks-too-big-for-insurers-just-fed-a-200-billion-market-boom?re_source=postr_story_1

Tag :