เนสกาแฟ เติมความรู้ชาวสวนกาแฟ ทำเกษตรเชิงฟื้นฟู คืนความสมบูรณ์สู่ธรรมชาติ

by ESGuniverse, 29 กรกฎาคม 2567

เนสกาแฟ นำหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู สนับสนุนเกษตรกรปลูกกาแฟร่วมกับป่า คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับธรรมชาติ โมเดลความยั่งยืน จัดการความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ

 

 

ผลผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศไทยเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเกษตรกรบางรายหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ส่งผลให้มีความต้องการนำเข้าเมล็ดกาแฟเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลผลิตเมล็ดกาแฟในระดับโลกก็มีปริมาณลดลงเช่นเดียวกัน โดยคาดการณ์ว่า ผลผลิตเมล็ดกาแฟทั่วโลกอาจลดลงถึง 50% ภายในปี พ.ศ. 2593 ทำให้การขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ทวีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคย

การคาดการณ์ดังกล่าว เป็นการรายงานสถานการณ์อุตสาหกรรมกาแฟโดย บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายแบรนด์ ‘เนสกาแฟ’ ทั้งยังได้เปิดเผยด้วยว่า แม้ว่าตลาดกาแฟในประเทศไทยจะเติบโตขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ พร้อมความต้องการบริโภคกาแฟที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณผลผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศกลับลดลง ในฐานะผู้นำตลาดจึงต้องเดินหน้าสร้างธุรกิจกาแฟให้แข็งแกร่ง เพื่อตอบโจทย์คอกาแฟไทยให้ดียิ่งขึ้น และผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยจะมีผลผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงในระยะยาว

เนสกาแฟแพลน 2030

เนสกาแฟ ได้ทำงานกับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในประเทศไทยมาหลายทศวรรษ เพื่อส่งเสริมการเกษตรเชิงฟื้นฟูภายใต้โครงการ ‘เนสกาแฟแพลน 2030’ และประสบความสำเร็จในการพัฒนาโมเดลการเพาะปลูกอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากล โดยให้ความรู้และฝึกอบรมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 40 ปี ตั้งแต่การปลูกดูแลจนถึงเก็บเกี่ยว รวมถึงอบรมการเป็นผู้ประกอบการสวนกาแฟ ตลอดจนช่วยเหลือเกษตรกรผ่านการรับรองมาตรฐานการเพาะปลูกกาแฟอย่างยั่งยืนในระดับสากล

  

 

นายโจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า เนสกาแฟจะสานต่อบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับวงการกาแฟไทย โดยมุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเนสกาแฟ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น และผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ควบคู่ไปกับการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีผลผลิตเมล็ดกาแฟในระยะยาวที่เพียงพอ เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค เกษตรกรที่เราทำงานเคียงข้าง รวมถึงพันธมิตร คู่ค้า และประเทศไทยโดยรวม

ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว กลยุทธ์ของเนสกาแฟในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะมุ่งเน้นไปที่ 3 ด้านหลัก ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นกลยุทธ์ ‘NES’ ได้แก่

N: NESCAFÉ Brand การพัฒนาเนสกาแฟให้เป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า

E: Experience มอบประสบการณ์การดื่มด่ำกาแฟสุดพิเศษ ผ่านนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่

S: Sustainability การให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์

 

 

 

ผลักดันเกษตรกรไทย ทำเกษตรเชิงฟื้นฟู

“ความทุ่มเทของเราในการขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟูทำให้เนสกาแฟเป็นแบรนด์ที่มีการปลูกและจัดหาเมล็ดกาแฟอย่างยั่งยืน (Responsible Sourcing) 100% ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน 4C (Common Code for the Coffee Community) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในระดับโลก เพื่อการันตีว่าเมล็ดกาแฟของเราปลูกขึ้นตามมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลก ทำให้เราสามารถนำเสนอกาแฟคุณภาพสู่ผู้บริโภคชาวไทย"

นอกจากนี้ เนสกาแฟยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้าโดยตรงจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม โดยอิงจากราคากาแฟในตลาดโลก เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร และสร้างความเชื่อมั่นว่าผลผลิตของพวกเขาจะมีตลาดรับซื้อที่ไว้วางใจได้มุ่งส่งเสริมการปลูกกาแฟยั่งยืน ชูการเกษตรเชิงฟื้นฟู ควบคู่การสนับสนุนเกษตรกรไทยทุกมิติ

 

 

 

คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับธรรมชาติ

ด้านนายทาธฤษ กุณาศล ผู้จัดการฝ่ายบริการการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปัจจุบัน ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร มีความเสื่อมโทรมอย่างมาก ยกตัวอย่างดิน ที่มีความสามารถในการรองรับการปลูกพืช หรือเลี้ยงสัตว์ ตอนนี้พบว่าความอุดมสมบูรณ์ของดินมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เหมาะสมกับการทำเกษตรในบ้านเรา แสดงว่าอีก 2 ใน 3 เริ่มมีปัญหาแล้ว เนสท์เล่ในฐานะที่ทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จึงต้องรับผิดชอบในด้านนี้ด้วย โดยเฉพาะกับต้นน้ำธุรกิจเรา ผู้ที่เป็นเกษตรกร เราต้องสนับสนุนให้เขาทำการเกษตรเชิงฟื้นฟู ไม่เพียงแต่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมน้อยลง แต่หัวใจหลักคือต้องให้ความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา

ปลูกต้นกาแฟร่วมกับป่า ผลผลิตดี
เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ

โครงการเนสกาแฟแพลน 2030 จะส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ โดยหลักการเกษตรฟื้นฟู จะเป็นการส่งเสริมปลูกกาแฟร่วมกับป่า เพราะกาแฟเป็นพืชที่สามารถเติบโตได้ดีในป่าที่มีต้นไม้ใหญ่คอยบังแสงแดดให้ ที่สำคัญการที่มีพืชหลากหลายชนิดในป่า จะทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพที่อยู่ใต้ร่มเงามีปริมาณมากกว่า

นอกจากนั้น การที่ปลูกกาแฟในป่า ยังมีประโยชน์ด้านลดการกัดเซาะจากฝน เพราะบริเวณดิน ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้พืชคลุมดินโดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว ช่วยลดการชะล้าง พังทลาย ถ้าปล่อยให้ดินเป็นพื้นที่โล้นไม่มีพืชคลุมเลย จะเสี่ยงเกิดการกัดเซาะพังทลายของดินสูง

อีกทั้งยังส่งเสริมเกษตรกรเรื่องการใช้ปุ๋ย โดยให้ใช้สัดส่วนปุ๋ยอินทรีย์ที่มาจากเศษกิ่งไม้ หรือมูลสัตว์ มากขึ้น ควบคู่กับใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งปุ๋ยเคมีไม่ได้เป็นพิษภัยมาก เพียงแต่ต้องใช้ให้ถูกต้อง ซึ่งก่อนจะใช้ปุ๋ยจะตรวจวิเคราะห์ดิน ว่ามีธาตุอาหารอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อต้นกาแฟบ้าง หลังจากให้ผลวิเคราะห์ดินแล้ว จะมีคำแนะนำเกี่ยวกับการใส่ปุ๋ย ให้เกษตรกรใส่ปุ๋ยให้ถูกต้องตามหลัก ตามปริมาณ ตามเวลา ตามความต้องการที่พอดี ถูกต้อง

ล่าสุด เนสท์เล่ได้ส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งในสวนกาแฟ เพื่อช่วยผสมเกสร ซึ่งการเลี้ยงผึ้งในสวนก็เป็นเครื่องชี้วัดได้ว่าสวนนั้น ๆ ไม่มีการใช้สารเคมี

เปิดโรงเรียนธุรกิจเกษตร
สำหรับชาวสวนกาแฟ

นายทาธฤษ กล่าวต่อว่า เนสท์เล่ให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรในการให้ความรู้และการสนับสนุนด้านเทคนิคในการทำสวนกาแฟอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการผนึกความร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย หรือ GIZ ในการจัดทำหลักสูตรโรงเรียนธุรกิจเกษตรสำหรับชาวสวนกาแฟ ชื่อ ‘Farmer Business School’ ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้มีแนวคิดของผู้ประกอบการเกษตรกรรม

หลักสูตรนี้ส่งเสริมให้ชาวสวนกาแฟ มองว่าการปลูกกาแฟเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุน ควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ สอนบริหารรายรับรายจ่าย บริหารทรัพยากร จัดการความเสี่ยง และการปลูกกาแฟที่ถูกต้องตามหลักความยั่งยืน ในช่วงปีที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับ 2561-2565 สามารถสร้างรายได้สุทธิให้เกษตรกรเพิ่มขึ้นถึง 18% ตอนนี้อบรมไปมากกว่า 2,000 รายแล้ว

นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังให้การสนับสนุนโครงการประกวดสุดยอดกาแฟไทย เพื่อส่งเสริมการใช้การเกษตรเชิงฟื้นฟูในสวนกาแฟให้มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาต้นกล้ากาแฟที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในประเทศไทย ต้านทานโรค ทนแล้ง และได้กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีเหล่านี้ให้กับเกษตรกรมาแล้วเกือบ 4 ล้านต้น

“เราทำงานกับเกษตรกรร่วม 40 ปี และมีจุดรับซื้อหลัก ๆ ร่วมกับเกษตรกร 2 แห่ง คือชุมพร ระนอง เป็นการสนับสนุนการเกษตรของไทย แต่การรับซื้อไม่ได้เป็นพันธะสัญญา เกษตรกรมีอิสระในการเลือกขายได้ในตลาด ไม่มีการผูกมัด เพราะผลลัพธ์ที่เราคาดคือทุกคนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเกษตรกร มีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้านสิ่งแวดล้อมต้องได้รับการฟื้นฟู ส่วนผู้บริโภคได้รับรู้ว่าทุกแก้วที่เขาดื่มมาจากแหล่งเพาะปลูกกาแฟที่ดี นอกจากนั้นยังมองจังหวัดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพปลูกกาแฟอย่างเลย น่าน ฯลฯ ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะทำงานด้านนี้ต่อไป แสดงเจตนารมณ์ เพิ่มคุณภาพชีวิตทุกคน ผลักดันขับเคลื่อนภารกิจที่ต้องการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050”

 

 

 

ขณะที่นายสุดใจ คำยอด เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจากจังหวัดชุมพร กล่าวว่า ปลูกกาแฟมาเกือบ 40 ปี มีช่วงเวลาที่เคยท้อแท้จากผลผลิตที่น้อยลงและไม่ได้คุณภาพ จนทางเนสท์เล่ได้ส่งนักวิชาการเกษตรมาช่วยเหลือและให้คำแนะนำในการปลูกกาแฟแทบจะทุกด้าน รวมทั้งหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู จนผลผลิตกลับมาดีขึ้น เดี๋ยวนี้โลกร้อนขึ้น อากาศร้อนมาก แล้งด้วย น้ำไม่พอใช้ กาแฟได้น้ำไม่พอ ทำให้สัดส่วนผลผลิตที่จะได้เพิ่มขึ้นมีปริมาณลดลง แต่สวนใช้แนวทางของเนสท์เล่ ก็ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนอื่น ๆ เรียกได้ว่าเนสท์เล่ได้เข้ามามีส่วนช่วยทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น จึงอยากเชิญชวนเกษตรกรให้หันมาใช้หลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูเพื่อผลผลิตที่ดีอย่างยั่งยืน

นอกจากการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสท์เล่ยังสอนเทคนิคการเสียบยอดเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 3-4 เท่า ส่วนต้นกล้าที่ได้รับจากเนสท์เล่ก็ให้ผลผลิตที่ดี เมล็ดใหญ่ และทนแล้ง รวมทั้งยังมาช่วยวิเคราะห์สภาพดิน เพื่อใส่ปุ๋ยให้เหมาะสม