เสนอแผนพัฒนา กทม. “เมืองฟองน้ำ” รับมือ น้ำท่วม อย่างยั่งยืน

เสนอแผนพัฒนา กทม. “เมืองฟองน้ำ” รับมือ น้ำท่วม อย่างยั่งยืน

สถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ในปัจจุบัน ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลว่าน้ำที่ไหลลงมาจากภาคเหนือของประเทศไทย ลงสู่แม้นำเจ้าพระยา ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล นั้นจะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เหมือนสถานการณ์อุทกภัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คือ ในปี 2554 หรือไม่

ศ.ดร.ชัยยุทธ ชินณะราศรี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ปรึกษาอธิการบดีด้านการบริหารการจัดการน้ำ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในปี 2654 จะไม่ซ้ำรอยปี 2554 เช่นเดียวกันพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ สถานการณ์น้ำท่วมจะไม่รุนแรงเท่ากับปี 54 แต่ยอมรับว่าสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้ค่อนข้างมีความผิดปกติเกิดขึ้น

สำหรับสถานการณ์น้ำในปี 64 แม้ว่าฝนที่ตกลงมาในเดือน ก.ย.64 มีปริมาณมากกว่าปกติ แต่ฝนที่ตกส่วนใหญ่จะตกในพื้นที่หลังเขื่อน ขณะที่ปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ณ ปัจจุบัน ยังมีปริมาณน้ำอยู่ที่ประมาณ 47% หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณความจุ ดังนั้นหากมีฝนตกเหนือเขื่อนในเดือน ต.ค.64 ก็ไม่น่ากังวล

ส่วนเขื่อนป่าสักฯ และเขื่อนเจ้าพระยาที่มีปริมาณน้ำในเขื่อนมากจึงต้องเร่งระบายลงพื้นที่ท้ายเขื่อน ส่งผลให้พื้นที่ต่ำลุ่มน้ำใน 5 จังหวัด สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง อยุธยา และสุพรรณบุรี เกิดน้ำล้นตลิ่ง จากการปล่อยน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาในปริมาณ 2,800 ลบ.ม./วินาที ซึ่งก็เป็นอีกจุดที่ต้องเฝ้าระวัง

ด้านแนวทางแก้ไขและบรรเทาปัญหาที่สามารถทำได้ทันทีนั้น จะต้องควบคุมปริมาณน้ำที่ไหลผ่าน อ.บางไทรไม่ให้สูงเกินกว่า 3,500 ลบ.ม./วินาที โดยควบคุมการปล่อยน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระรามหกอย่างเป็นจังหวะ ไม่เร่งระบายน้ำจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง

และระวังเรื่องของระดับน้ำทะเลหนุนสูงในช่วงสัปดาห์ที่1 และ 3 ของเดือนต.ค.64 เนื่องจากระดับน้ำทะเลหนุนสูงจะต้านการระบายน้ำจืดจากแม่น้ำเจ้าพระยาลงสู่อ่าวไทย จะทำให้ไม่สามารถเร่งการระบายน้ำในช่วงนี้ได้

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งตรวจสอบและซ่อมแซม อาทิ คันกั้นน้ำตลอดแนวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตรวจจุดชำรุด ตรวจสอบเส้นทางน้ำระบบเครือข่ายคูคลองทั้งโซนตะวันออกและตะวันตกของ กทม. เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่สำคัญต้องยอมให้ปล่อยน้ำเข้าทุ่งรับน้ำเพื่อให้น้ำไหลผ่านพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อระบายน้ำลงสู่แม่น้ำไปสู่ระบบเครือข่ายคลอง และลงสู่อ่าวไทยต่อไป ป้องกันความเสียหายต่อภาคเศรษฐกิจของเมือง

ดังนั้น ผู้ที่อยู่อาศัยต้องเข้าใจ ยอมรับและปรับตัวให้อยู่กับสิ่งแวดล้อมและให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ โดยภาครัฐจะต้องจ่ายค่าชดเชยเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือผู้เสียหายที่อยู่ในพื้นที่รับน้ำ

ขณะที่แนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วมอย่างยั่งยืนนั้น ภาครัฐจะต้องหันมาตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มากขึ้น ทั้งเรื่องความรุนแรงและไม่แน่นอนของปริมาณน้ำฝน เส้นทางเดินของพายุ และปริมาณน้ำท่วม ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล

โดยจะต้องมีนโนยายในการเตรียมรับมือป้องกันและบรรเทาปัญหาที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง และกลับมาทบทวนเรื่องการทำ “Flood way” เพื่อระบายน้ำจากนครสวรรค์ให้ไหลลงสู่อ่าวไทยใหม่อีกครั้ง

รวมถึงให้มีการบังคับใช้ผังเมืองอย่างจริงจังเพื่อจัดแบ่งโซนพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัย พื้นที่อุตสาหกรรม หรือพื้นที่เกษตรกรรม โดยมีเส้นทางการไหลของน้ำที่ชัดเจนและบังคับใช้กฎหมายเรื่องการบุกรุกแหล่งน้ำหรือการถมคูคลองอย่างจริงจัง

สำหรับกทม. ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางเพียงแค่ประมาณ 1 ม. อยากเสนอให้พิจารณาการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนา กทม. ให้รับมือน้ำท่วมในเขตเมือง ภายใต้แนวคิด “เมืองฟองน้ำเสมือน หรือ Sponge City” ซึ่งเป็นเสมือนแก้มลิงชั่วคราว

โดยการคัดเลือกหาพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น สวนสาธารณะ หรือพื้นที่แก้มลิงบางขุนเทียน และให้ปรับปรุงทางเดินสาธารณะ และโครงการขนาดใหญ่จัดแบ่งพื้นที่ทำระบบฟองน้ำเสมือน เพื่อให้สามารถเก็บกักน้ำได้ชั่วคราวเมื่อเกิดฝนตกหนัก และมีการระบายคายน้ำออกในภายหลัง เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมขังหรือน้ำรอการระบายอย่างที่ผ่านมา

สำหรับแนวคิด “Sponge city” หรือ ‘เมืองฟองน้ำ’ ได้รับการพัฒนาขึ้นเมื่อปี 2556 เพื่อจัดการกับปัญหาการจัดการน้ำท่วมในเขตเมืองในประเทศจีน และพัฒนารูปแบบของการอยู่ร่วมกันของผู้คน น้ำ และเมืองที่ยั่งยืน

โดยการพัฒนาเมืองและการก่อสร้างดังกล่าวจะต้องคำนึงถึง 6 เกณฑ์ ได้แก่ การซึมลงดิน (Infiltration) การกักน้ำ (retention) การเก็บน้ำ (storage) การบำบัดน้ำ (purification) การใช้ประโยชน์น้ำ (utilization) และ การระบายน้ำ (drainage) เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้เมืองฟองน้ำนำร่องของจีน คือ เมืองหวู่ฮั่น (Wuhan) ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งแนวทางสิ่งก่อสร้าง (grey solutions) และแนวทางธรรมชาติ (nature-based solutions) ซึ่งได้แก่ การสร้างสวนพิรุณ (rain garden) การปลูกหญ้าแฝก ระบบกักเก็บนํ้าด้วยพืชพรรณ (bio-retention facilities) ทางเท้าที่ปูด้วยแอสฟัลต์ที่น้ำซึมผ่านได้ รางตื้นซับน้ำ (Infiltration trenches) และพื้นที่กักเก็บน้ำฝน โดยมีเป้าหมาย คือ ดูดซับปริมาณน้ำฝนทั้งปีให้ได้ถึง 60%-85%

 

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

ศุลกากรท่าเรือกรุงเทพฯ ขานรับนโยบายเปิดประเทศ พร้อมบริการ 24 ชม.