สุ่มตรวจเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อดัง พบไม่ตรงปกตามโฆษณา ซ้ำร้ายบางเจ้าลดฝุ่นไม่ได้อย่างที่คุย
ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) โดยเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ได้เปิดเผยผลทดสอบเครื่องฟอกอากาศ ที่มีในท้องตลาดมา เพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการบำบัดฝุ่นละออง
โดยเครื่องฟอกอากาศที่ทำการสุ่มซื้อตัวอย่างจากท้องตลาด และทางออนไลน์จำนวน 10 ยี่ห้อ ราคาซื้อขายตามท้องตลาด ณ เดือนมิถุนายน 2562 และทำการทดสอบตามมาตรฐาน Standards of The Japan Electrical Manufacturers’ Association (JEM Standards), JEM1467 – Air Cleaner for Household Use (Air cleaners of household and similar use) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศครัวเรือน
ทั้งนี้จากผลการทดสอบสามารถแบ่งประเภทของเครื่องฟอกอากาศ โดยพิจารณาจาก การเปรียบเทียบ พื้นที่ห้องที่เหมาะสม กับ พื้นที่ห้องที่แนะนำตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน สรุปได้เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 คือ เครื่องฟอกอากาศเหมาะกับกลุ่มที่ขนาดพื้นที่ห้องจากการทดสอบ มีขนาดเล็กมาก (2.32 ตารางเมตร) ซึ่งสามารถแปลผลการทดลองได้ว่า ไม่สามารถลดปริมาณฝุ่นได้ ได้แก่ ยี่ห้อ Clair
กลุ่มที่ 2 เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มี ขนาด 13.82 ตารางเมตร แต่ไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ ยี่ห้อ Blueair
กลุ่มที่ 3 เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากกว่า 20 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ ยี่ห้อ Hitachi Fanslink Air D, Sharp และ Bwell
กลุ่มที่ 4 เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ได้กับห้องที่มีขนาดมากกว่า 20 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร แต่ไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Hatari และ Mitsuta
กลุ่มที่ 5 เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากกว่า 30 ตารางเมตร และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Philips และ Mi
ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ตั้งข้อสังเกตว่า การบอกขนาดห้องที่เหมาะสมของเครื่องฟอกอากาศแต่ละยี่ห้อ จะมีความแตกต่างกัน บางยี่ห้อ บอกขนาดห้องที่เหมาะสม ในช่วงที่ค่อนข้างกว้าง เช่น กรณีของ Philips รุ่น AC 1215/20 ขนาดห้องที่แนะนำ อยู่ในช่วง 21 – 63 ตารางเมตร ยี่ห้อ Mi รุ่น ( Air Purifier 2s) ขนาดห้องที่แนะนำ คือ 21 – 37 ตารางเมตรnews pic 23012020 2
ดังนั้น ถ้าเราสามารถทราบค่า CADR ของแต่ละผลิตภัณฑ์ เราสามารถที่จะคำนวณประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศได้ ซึ่งค่า CDAR ที่ได้จากการทดสอบเป็นค่าที่บอกถึงความสามารถในการกำจัดฝุ่นได้ถึง ร้อยละ 99 ในระยะเวลา 90 นาที ในกรณีที่ห้องมีขนาดใหญ่เวลาที่ใช้ในการกำจัดฝุ่นก็จะมากขึ้นหรืออาจไม่สามารถกำจัดฝุ่นได้
สำหรับการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในสินค้าประเภทเครื่องฟอกอากาศในครัวเรือน จึงมีความสำคัญเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถ ใช้ข้อมูลการทดสอบตามมาตรฐานในการตัดสินใจ เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการกำจัดฝุ่นละอองได้อย่างมั่นใจ
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอดังต่อไปนี้ 1. ปัญหา ฝุ่นและควัน ขนาดเล็ก (PM2.5) มักจะเกิดความรุนแรงตามฤดูกาลของปี และมีหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุของคุณภาพอากาศที่เลวร้าย ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก ผู้บริโภคจึงจำเป็นต้องเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ การใช้เครื่องฟอกอากาศครัวเรือน ซึ่งเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ปลายเหตุ ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคส่วนอื่นๆ ควรร่วมกันแก้ปัญหาฝุ่นพิษ และหมอกควัน
2. สำหรับการเลือกซื้อเครื่องกรองอากาศในครัวเรือน ปัจจุบัน ไม่ได้มีมาตรฐานอุตสาหกรรมในการผลิต ส่งผลให้ ผู้บริโภคไม่สามารถเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ ที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพได้ ดังนั้น ควรเสนอให้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งจัดทำมาตรฐานเครื่องฟอกอากาศในครัวเรือน เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรเรียนรู้จากงานชิ้นนี้ของนิตยสารฉลาดซื้อ นอกจากได้รู้ว่าเครื่องฟอกอากาศที่ถูกทดสอบแต่ละรุ่นเป็นอย่างไรแล้ว ผู้บริโภคควรได้เรียนรู้วิธีการที่ใช้ทดสอบเพื่อจะไปประยุกต์กับการทดสอบอุปกรณ์ฟอกอากาศที่เราใช้กันอยู่ในบ้านทั้งที่ซื้อมาและที่ทำกันขึ้นเอง และที่สำคัญงานชิ้นนี้เป็นการย้ำให้ทุกคนตระหนักว่าสิทธิของประชาชนที่ควรจะได้รับการคุ้มครอง คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลความรู้ (Right to Know) ที่เป็นข้อเท็จจริง
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
“กรุงเทพฯ” มาแรง พุ่งพรวด 16 อันดับ ท็อป 100 เมืองที่ดีที่สุดของโลก
