วิธีรักษาป้องกันและดูแลตนเองเมื่อเป็น “โรคลมพิษ”

วิธีรักษาป้องกันและดูแลตนเองเมื่อเป็น “โรคลมพิษ”

หากมีอาการรู้สึกแสบร้อน และมีผื่นที่มักจะเป็นๆ หายๆ สัญญาณนี้อาจบ่งชี้ว่า คุณกำลังเป็น ลมพิษ อยู่ ถ้าสงสัยว่าตัวเองเป็นลมพิษหรือเปล่า มาดูกันดีกว่าว่า ลมพิษ คืออะไร มีสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาอย่างไรบ้าง

ลมพิษ คืออะไร?
ลมพิษคือหนึ่งในกลุ่มอาการของปฏิกิริยาตอบสนองจากโรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยมักมีผื่นนูนขึ้นตามผิวหนัง มีสีออกขาวและล้อมรอบไปด้วยผื่นสีแดง ซึ่งมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กปะปนกันไป โดยมักมาพร้อมกับอาการคัน หากเป็นมากจะรู้สึกแสบร้อนที่ผิวหนังจนไม่สามารถสัมผัสหรือหยิบจับสิ่งของได้

โรคลมพิษแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ตามระยะเวลาและอาการ ได้แก่
1. ชนิดเฉียบพลัน (Acute urticaria) คือลักษณะของลมพิษที่เกิดขึ้นมาและหายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะใช้ระยะเวลาประมาณ 48 ชั่วโมง หรือเป็นติดต่อกันไม่เกิน 6 สัปดาห์
2. ชนิดเรื้อรัง (Chronic urticaria) คือลักษณะของลมพิษที่มีอาการเป็นๆ หายๆ ต่อเนื่องกันนานกว่า 6 สัปดาห์ขึ้นไป แม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวันไม่น้อย

สาเหตุของการเกิดลมพิษ
ลมพิษไม่มีสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด โดยส่วนหนึ่งเกิดจากสภาวะที่ร่างกายปล่อยสาร “ฮีสตามีน” (Histamine) และสารอื่นๆ เข้าสู่กระแสเลือดเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าภายนอก เช่น แสงแดด ฝุ่น สารพิษต่างๆ รวมไปถึงความเครียด และการรับประทานยาแก้ปวด อาหารบางชนิด หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังพบว่าสาเหตุของลมพิษชนิดเฉียบพลันมักเกิดจากอาการแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายตัวเอง หรือแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพอื่นๆ อย่างโรคไทรอยด์ หรือโรคลูปัส (แพ้ภูมิตัวเอง)

อาการของลมพิษ
อาการของลมพิษเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นผิวหนังนูนแดง มีจำนวนผื่นน้อยบ้างเยอะบ้าง และมีขนาดแตกต่างกันไป รวมทั้งมีอาการคันหรือแสบร้อนบริเวณดังกล่าว พบได้ทั้งบริเวณใบหน้า แขน ขา และลำตัว ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกคัน และแสบร้อนที่ผิวหนัง

การวินิจฉัยลมพิษ
แพทย์จะสอบถามอาการเบื้องต้น ซักประวัติการเป็นโรคอื่นๆ หรือประวัติการรักษาปัญหาสุขภาพต่างๆ ของผู้ป่วย เพื่อหาสาเหตุและปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดลมพิษ หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการลมพิษบ่อยครั้ง แพทย์อาจใช้การทดสอบทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด หรือการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ อย่างละเอียด

ภาวะแทรกซ้อนของลมพิษ
ภาวะแทรกซ้อนจากลมพิษพบได้ประมาณ 25% ในผู้ป่วยระยะเฉียบพลัน และประมาณ 50% ในผู้ป่วยระยะเรื้อรัง ที่ลมพิษอาจพัฒนาไปเป็น “แองจิโออีดีมา” (Angioedema) คือผู้ป่วยจะมีอาการบวมของเนื้อเยื่อในชั้นลึกของผิว ซึ่งรุนแรงกว่าลมพิษมาก และอีกภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้คือ ภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (Anaphylaxis) ที่ทำให้มีอาการหายใจลำบาก แน่นหน้าอก ชีพจรต่ำ หัวใจเต้นเร็ว ฯลฯ หากไม่รักษาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉะนั้นหากมีอาการเรื้อรังเป็นระยะเวลานานหรือมีอาการแทรกซ้อน ควรรีบเข้ารับการรักษาโดยด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน

รักษาลมพิษได้อย่างไรบ้าง?
การรักษาในเบื้องต้นคือ ทายาแก้แพ้บริเวณผิวหนังที่เป็นผื่นแดง แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อรับยาที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยวิธีการรักษาที่แพทย์แนะนำจะมีทั้งแบบใช้ยาทาและยารับประทานเพื่อช่วยควบคุมอาการให้ดีขึ้นตามลำดับ เช่น คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) ไฮดรอกไซซีน (Hydroxyzine) ไซโปรเฮปตาดีน (Cyproheptadine) และเซทริซีน (Cetrizine)

วิธีป้องกันลมพิษ
วิธีป้องผื่นที่ดีที่สุดคือการหาสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการ โดยสังเกตว่าตนเองมีอาการเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งใด แล้วพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น ที่สำคัญควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงขึ้น

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นลมพิษ
• ควรออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงหรือมีสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
• ไม่ควรสัมผัสกับผื่นลมพิษโดยตรง
• ควรทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่มีผื่นด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ แล้วเช็ดให้แห้ง
• ทายาหรือรับประทานยาแก้แพ้
• ไม่ควรเครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไป และควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ

แม้ว่าลมพิษจะไม่อันตรายร้ายแรงเหมือนโรคอื่นๆ แต่ก็อาจทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ และหากมีอาการเกิดขึ้นก็ควรหาวิธีรักษาให้เร็วที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูล : honestdocs.co

ข่าวที่น่าสนใจ
“โรคผื่นแพ้ต่อมน้ำมัน” รักษาภายใต้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ลดการกำเริบได้