“พาณิชย์” ขอ ก.พลังงาน ดูดน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบทันที 1 แสนตัน

“พาณิชย์” ขอ ก.พลังงาน ดูดน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบทันที 1 แสนตัน


“พาณิชย์”นัดหารือด่วน เคาะมาตรการรับมือผลปาล์มราคาตกต่ำ ขอกระทรวงพลังงานช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบ 2 แสนตัน แต่ให้ทำทันที 1 แสนตัน ส่วนที่เหลือแล้วแต่สถานการณ์ มั่นใจอย่างน้อยจะช่วยบรรเทาปัญหาด้านราคาได้ ชี้เหตุราคาดิ่งหนัก เกิดจากอากาศร้อน ปาล์มสุกไว แต่ไร้คุณภาพ

น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อร่วมกันหาทางออกในการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มตกต่ำให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์ม เนื่องจากขณะนี้พบว่า มีผลผลิตออกเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ จะขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาดูดซับผลผลิตในสต็อกจำนวน 200,000 ตัน โดยจะดึงออกไปก่อนในเบื้องต้นภายในเดือนพ.ค.2562 จำนวน 100,000 ตัน และพร้อมที่จะดูดซับเพิ่มเติมอีก 100,000 ตัน หากสถานการณ์ผลผลิตปาล์มยังเพิ่มขึ้น และจะหารือผู้ประกอบการในที่ใช้น้ำมันปาล์มทั้งระบบเพื่อแก้ปัญหาในระยะกลาง และระยะยาวต่อไป

“เรื่องนี้อาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่องอย่างฉับพลัน แต่อย่างน้อยปัญหาจะต้องบรรเทา และจะยกระดับขีดความสามารถของผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบน้ำมันปาล์มให้สามารถแข่งขันได้ โดยจะนำผลการหารือดังกล่าวกำหนดเป็นแนวทางดำเนินการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) พิจารณาในการประชุมวันที่ 2 พ.ค.2562 ต่อไป” น.ส.ชุติมากล่าว

น.ส.ชุติมากล่าวว่า สำหรับปัญหาราคาปาล์มตกต่ำในขณะนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากสภาวะการณ์น้ำมันปาล์มในตลาดโลกมีภาวะการแข่งขันที่รุนแรง โดยประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ได้แก่ อินโดนีเซียและมาเลเซีย ได้รับผลกระทบจากการที่สหภาพยุโรป (อียู) ออกมาตรการยกเลิกการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ รวมทั้งการขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศอินเดีย จึงส่งผลกระทบต่อภาวการณ์ส่งออกและสถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของไทย

นอกจากนี้ ได้เกิดสภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลให้ต้นปาล์มมีทะลายปาล์มสุกเพิ่มมากขึ้น แต่มีสภาพการสุกไม่สมบูรณ์ คือ ด้านนอกสุก แต่ด้านในไม่สุก ส่งผลต่อปริมาณที่ออกมากขึ้นและคุณภาพของผลปาล์มที่ลดลง โดยได้รับการยืนยันจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ที่ได้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพการออกผลผลิตของต้นปาล์มในพื้นที่จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า จากสภาพอากาศที่ร้อนจัดดังกล่าว ส่งผลให้ผลปาล์มสุกเร็วขึ้น เกษตรกรจึงได้ตัดปาล์มเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ จากเดิมที่เคยตัดได้ต้นละ 3 ทะลายเป็น ต้นละ 5-6 ทะลาย ทำให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มมีรถเข้าคิวที่หน้าโรงงานสกัดจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาผลปาล์มลดต่ำลงอย่างรวดเร็วในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะพื้นที่และปริมาณที่โรงงานสกัดแต่ละโรงมีจำนวนจำกัด

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบสต็อกน้ำมันปาล์มของคณะทำงานระดับจังหวัดสัปดาห์ที่แล้ว สต็อกคงเหลือน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ของ 4 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ ชุมพร และนครศรีธรรมราช มีปริมาณลดลงจากเฉลี่ยประมาณ 10% ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือตรวจสต็อกโรงงานสกัดทั่วประเทศในต้นเดือนพ.ค.2562 ต่อไป

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
นอน “โฮมสเตย์” ยัน “ซื้อบ้าน” ลดหย่อนภาษีได้