เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปีของกรุงเทพมหานครที่เพิ่งเกิดขึ้น ได้สร้างความตระหนักเรื่องความปลอดภัยของอาคารสูงและคอนโดไทยมิเนียมในเมืองใหญ่ แม้กรุงเทพฯ จะไม่ได้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนแผ่นดินไหวโดยตรง แต่การสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากแหล่งกำเนิดในพื้นที่ใกล้เคียงก็สามารถสร้างความเสียหายได้ หลายคนจึงเกิดคำถามว่า “คอนโดไทยยังแข็งแรงปลอดภัยหรือไม่?” บทความนี้จะพาไปดูบทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้กัน
บทเรียนสำคัญจากแผ่นดินไหวครั้งนี้
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อคอนโดหลายแห่ง ทั้งตัวอาคาร ห้องพักอาศัย และพื้นที่ส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นผนังแตกร้าว ฝ้าเพดานถล่ม หรือกระจกแตก ซึ่งทุกโครงการจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบจากวิศวกรก่อนว่าโครงสร้างหลักได้รับผลกระทบหรือไม่? เมื่อได้รับการยืนยันว่าปลอดภัยแล้ว จึงอนุญาตให้ลูกบ้านกลับเข้าพักอาศัยได้ตามปกติอย่างไรก็ตาม แม้จะมีการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญว่าโครงสร้างไม่ได้รับความเสียหาย แต่หลายคนยังคงกังวลใจและมีคำถามมากมาย เช่นเดียวกับในไลน์กลุ่มคอนโดของแอด ที่มีลูกบ้านคนหนึ่งถามนิติบุคคลว่า “คอนโดของเรารองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้กี่ริกเตอร์?” ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน
ทั้งนี้จากข้อมูลกฎกระทรวง พ.ศ. 2550 และ มาตรฐาน มยผ. 1302/61 พบว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบอาคารให้รองรับแผ่นดินไหว ได้กำหนดว่า อาคารในกรุงเทพฯ และพื้นที่เสี่ยงต่ำ ต้องสามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ในช่วง 4-12% ของน้ำหนักอาคาร ส่วนอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงปานกลางถึงสูง อย่างในจังหวัดกาญจนบุรีและภาคเหนือ จะต้องรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ 4-15% ของน้ำหนักอาคาร เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว
นอกจากนี้ โดยทั่วไปแล้ว อาคารในไทยถูกออกแบบให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนที่เทียบเท่ากับแผ่นดินไหวขนาด 7-7.5 ริกเตอร์ ขณะที่แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดมีขนาด 7.7 ริกเตอร์ ซึ่งถือเป็นการทำลายสถิติแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้นในปี 2478 ที่น่าน ซึ่งมีขนาด 6.5 ริกเตอร์ดังนั้น บทเรียนจากเหตุการณ์นี้ อาจทำให้คอนโดและอาคารสูงในไทยต้องปรับมาตรฐานการก่อสร้างให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่าหรือเท่ากับแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นคงและความปลอดภัยในโครงสร้างอาคาร เพราะในอนาคตอาจเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงกว่านี้ได้
มาตรฐานการก่อสร้างกับแผ่นดินไหว
ปัจจุบัน อาคารสูงในกรุงเทพฯ ที่สร้างหลังปี 2550 ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่กำหนดการออกแบบอาคารให้ต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ซึ่งมีการปรับปรุงมาตรฐานหลายครั้ง โดยล่าสุดในปี 2564 ได้มีการปรับปรุงให้เข้มงวดมากขึ้น
คอนโดมิเนียมที่สร้างก่อนหน้านี้อาจไม่ได้ออกแบบตามมาตรฐานปัจจุบัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะในการออกแบบอาคารสูงทั่วไปมักมีค่าความปลอดภัย (Safety Factor) ที่มากกว่าแรงกระทำปกติที่คาดการณ์
วิธีตรวจสอบความปลอดภัยของคอนโดหลังแผ่นดินไหว
- สอบถามข้อมูลจากนิติบุคคลอาคารชุด เกี่ยวกับการตรวจสอบโครงสร้างล่าสุดและแผนการตรวจสอบหลังแผ่นดินไหว
- ตรวจสอบปีที่สร้างอาคาร หากเป็นอาคารที่สร้างหลังปี 2550 มีโอกาสที่จะออกแบบตามมาตรฐานการต้านแผ่นดินไหว
- ขอดูเอกสารการตรวจสอบอาคารประจำปี ซึ่งเป็นข้อบังคับตามกฎหมายสำหรับอาคารสูง
- ปรึกษาวิศวกรโครงสร้าง หากพบเห็นความผิดปกติหรือความเสียหายที่น่ากังวล
- รวมกลุ่มผู้อยู่อาศัย เพื่อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยโดยผู้เชี่ยวชาญ
Cr. ภาพ : https://forbesthailand.com/
นำเทคโนโลยีก่อสร้างจากญี่ปุ่น มาใช้พัฒนาคอนโดไทย
สำหรับเจ้าของโครงการ ควรพิจารณานำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการก่อสร้างจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง มาใช้ในการพัฒนาคอนโดในไทย เช่น การใช้วัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อช่วยดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวหรือการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ เช่น แผ่นยางหรือแผ่นเหล็ก ระหว่างฐานรากและตัวอาคาร เพื่อแยกการสั่นสะเทือนของพื้นดินออกจากโครงสร้าง ทำให้ตัวอาคารสั่นไหวน้อยลงเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายและเพิ่มความปลอดภัยให้กับคอนโด
สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
หลังเกิดแผ่นดินไหว ผู้อยู่อาศัยควรสังเกตสัญญาณความเสียหายต่อโครงสร้างอาคาร ดังนี้
- รอยแตกร้าวบนผนัง โดยเฉพาะรอยแตกแนวทแยงหรือรอยแตกขนาดใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้น
- เสา คาน หรือพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เสาที่เอียง คานที่แอ่นตัวผิดปกติ
- ประตูหรือหน้าต่างที่ปิดไม่สนิทผิดปกติ หลังแผ่นดินไหว อาจบ่งชี้ว่าโครงสร้างอาคารมีการเคลื่อนตัว
- รอยแตกบนพื้น โดยเฉพาะรอยแตกต่อเนื่อง หรือพื้นที่ทรุดตัวเป็นแนวยาว
- ระบบท่อน้ำหรือไฟฟ้าที่ทำงานผิดปกติ หลังเกิดแผ่นดินไหว อาจมีความเสียหายต่อระบบสาธารณูปโภค
การเตรียมความพร้อมรับมือแผ่นดินไหวในอนาคต
- จัดเตรียมชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน ประกอบด้วยน้ำดื่ม อาหารแห้ง ไฟฉาย วิทยุ ยาประจำตัว และเอกสารสำคัญ
- วางแผนเส้นทางอพยพ รู้ว่าทางออกฉุกเฉินอยู่ที่ไหน และควรไปรวมตัวกันที่จุดใด
- ซักซ้อมแผนอพยพ เพื่อให้คุ้นเคยกับขั้นตอนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
- ยึดเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ที่อาจล้มได้ เข้ากับผนังให้แน่นหนา
- เรียนรู้วิธีปฏิบัติตัวขณะเกิดแผ่นดินไหว เช่น หมอบลงใต้โต๊ะที่แข็งแรง หรือยืนชิดผนังที่ไม่มีสิ่งของแขวนอยู่
เช็กให้ชัวร์ ก่อนซื้อคอนโด หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว
หลังจากประสบการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่ผ่านมา หลายคนเริ่มกังวลเรื่องความปลอดภัยของการอยู่อาศัยในอาคารสูง แม้บางคนอาจมองหาบ้านหรือทาวน์โฮมเป็นทางเลือก แต่สำหรับคนทำงานในเมืองที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวหรือไม่ต้องการเดินทางไกล คอนโดมิเนียมใจกลางเมืองหรือตามแนวรถไฟฟ้ายังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ทำอย่างไรจึงจะเลือกซื้อคอนโดให้มั่นใจได้ว่าแข็งแรงและปลอดภัย หากเกิดแผ่นดินไหวในอนาคต? มาดูปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ
- ตรวจสอบมาตรฐานการรับแรงสั่นสะเทือน
แม้ว่าไม่มีกฎหมายที่ระบุชัดเจนว่าคอนโดหรืออาคารสูงต้องรองรับแผ่นดินไหวได้กี่ริกเตอร์ แต่ทุกโครงการต้องออกแบบตามมาตรฐานทางวิศวกรรม ซึ่งผู้ซื้อควรสอบถามข้อมูลเชิงลึกดังนี้:
- ค่าสัมประสิทธิ์แรงแผ่นดินไหว คอนโดสามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้กี่เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักอาคารทั้งหมด
- ความสามารถในการรับแรงเทียบเท่าแผ่นดินไหวขนาดกี่ริกเตอร์ โดยทั่วไปอาคารในกรุงเทพฯ ควรรองรับแผ่นดินไหวได้อย่างน้อย 5-6 ริกเตอร์
- ปีที่ก่อสร้าง อาคารที่สร้างหลังปี 2550 มักจะมีการออกแบบตามมาตรฐานการต้านทานแผ่นดินไหวที่เข้มงวดมากขึ้น
- ศึกษาเทคนิคและวัสดุก่อสร้าง
โครงสร้างอาคารเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการรับมือกับแผ่นดินไหว ควรพิจารณา:
- ความเหนียวและความยืดหยุ่นของโครงสร้าง อาคารที่มีความยืดหยุ่นจะสามารถดูดซับและกระจายแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่าอาคารที่แข็งเกินไป
- เทคโนโลยีต้านแผ่นดินไหว บางโครงการอาจใช้เทคโนโลยีเฉพาะ เช่น ระบบฐานรากแบบยืดหยุ่น หรือตัวหน่วงการสั่นไหว (Damper) เพื่อลดแรงสั่นสะเทือน
- แผนการตรวจสอบโครงสร้างประจำ โครงการที่ดีควรมีการตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยทุก 5 ปี
- พิจารณาแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน
นอกจากความแข็งแรงของตัวอาคารแล้ว แผนการรับมือภัยพิบัติก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน:
- ระบบความปลอดภัยและเส้นทางอพยพ ตรวจสอบว่ามีทางหนีไฟที่เข้าถึงง่าย จุดรวมพลที่ชัดเจน และระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ
- แนวทางช่วยเหลือหลังเกิดเหตุ นิติบุคคลควรมีแผนช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยทั้งระหว่างและหลังเกิดภัยพิบัติ
- ประวัติการรับมือเหตุฉุกเฉิน พิจารณาว่าผู้พัฒนาโครงการและนิติบุคคลมีประวัติการรับมือกับเหตุฉุกเฉินอย่างไรในอดีต โดยเฉพาะจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา
- ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้ง
- สภาพดินในบริเวณที่ตั้งโครงการ พื้นที่ที่มีดินอ่อนหรือเป็นดินถมอาจมีความเสี่ยงมากกว่าพื้นที่ที่มีดินแข็ง
- ความใกล้กับรอยเลื่อนของแผ่นดินไหว แม้กรุงเทพฯ จะไม่ได้อยู่บนรอยเลื่อนโดยตรง แต่ระยะห่างจากรอยเลื่อนใหญ่อาจมีผลต่อความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือนที่ได้รับ
- พิจารณาทัศนคติและความรับผิดชอบของผู้พัฒนาโครงการ
- ชื่อเสียงและประวัติผู้พัฒนาโครงการ เลือกดีเวลอปเปอร์ที่มีประวัติดีในด้านคุณภาพการก่อสร้างและการบริการหลังการขาย
- ความโปร่งใสในการให้ข้อมูล ผู้พัฒนาที่ดีควรเปิดเผยข้อมูลด้านความปลอดภัยอย่างตรงไปตรงมา
- การลงทุนในระบบความปลอดภัย พิจารณาว่าผู้พัฒนาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่าเพียงความสวยงามของอาคารหรือไม่
การเลือกซื้อคอนโดหลังจากประสบการณ์แผ่นดินไหวไม่ได้หมายความว่าต้องหลีกเลี่ยงการอยู่อาศัยในอาคารสูงโดยสิ้นเชิง แต่เป็นโอกาสที่ดีในการประเมินความปลอดภัยอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้คุณอุ่นใจแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้พัฒนาโครงการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยในระยะยาวอีกด้วย
แผ่นดินไหวกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่เพียงเป็นสัญญาณเตือนให้เราใส่ใจความปลอดภัยของที่พักอาศัย แต่ยังสะท้อนถึงความสำคัญของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามหลัก ESG อย่างแท้จริง
เริ่มจากด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) ควรออกแบบอาคารที่คำนึงถึงความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ผู้พัฒนาโครงการควรลงทุนในเทคโนโลยีและวัสดุที่ทนทานต่อภัยพิบัติ แม้จะมีต้นทุนสูงในระยะแรก แต่จะช่วยลดความเสียหายและทรัพยากรที่ต้องใช้ในการซ่อมแซมในระยะยาว
ส่วนด้านสังคม (Social) ความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย คือหัวใจสำคัญของความรับผิดชอบต่อสังคม ผู้พัฒนาโครงการและนิติบุคคลอาคารชุดต้องสร้างความโปร่งใสในการสื่อสารข้อมูลด้านความปลอดภัย และมีแผนรับมือภัยพิบัติที่ชัดเจน รวมถึงการดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและผู้พิการในยามฉุกเฉิน
และสุดท้ายด้านธรรมาภิบาล (Governance) การบริหารจัดการที่ดีเริ่มตั้งแต่การปฏิบัติตามมาตรฐานการก่อสร้างอย่างเคร่งครัด การตรวจสอบโครงสร้างอาคารอย่างสม่ำเสมอ และความโปร่งใสในการบริหารเงินกองทุนเพื่อการซ่อมแซมอาคาร ผู้อยู่อาศัยควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและตรวจสอบการทำงานของนิติบุคคลอาคารชุด
แผ่นดินไหวครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสให้ทุกภาคส่วนหันมาทบทวนและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยในเมือง พร้อมกับสร้างความตระหนักว่า การลงทุนในความปลอดภัยและความยั่งยืนไม่ใช่ต้นทุนที่สูญเปล่า แต่เป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตและอนาคตที่มั่นคงของทุกคน
อ้างอิง
https://shorturl.asia/n1JpG
https://shorturl.asia/n1JpGhttps://www.bbc.com/thai/articles/cwygyj71ep5o
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
ฟื้นเมืองแผ่นดินไหว ก้าวสู่ Smart City : บทเรียน 3 เมืองที่ถูกทำลายแต่กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม