กฎหมายคุ้มครองผู้ลี้ภัย ความท้าทายและแนวโน้มใหม่ในระดับโลก

กฎหมายคุ้มครองผู้ลี้ภัย ความท้าทายและแนวโน้มใหม่ในระดับโลก

 

กฎหมายคุ้มครองผู้ลี้ภัยทั่วโลกยังมีความแตกต่างและเผชิญความท้าทายจากวิกฤตผู้อพยพที่เพิ่มขึ้น ประเทศต่าง ๆ กำลังพยายามปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนมากขึ้น แนวโน้มใหม่เน้นความร่วมมือระหว่างประเทศและการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยอย่างมีประสิทธิภาพ

 

กรอบกฎหมายระหว่างประเทศหลักการและพันธกรณีสำคัญ

กฎหมายคุ้มครองผู้ลี้ภัยมีรากฐานจากข้อตกลงและกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดแนวทางในการปกป้องบุคคลที่ต้องหนีจากการประหัตประหาร สงคราม หรือความรุนแรงในประเทศของตน กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 (1951 Refugee Convention) และ พิธีสารว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1967 (1967 Protocol) ซึ่งกำหนดให้ผู้ลี้ภัยได้รับสิทธิคุ้มครองและห้ามไม่ให้ส่งตัวพวกเขากลับไปยังประเทศที่อาจเกิดอันตราย (หลักการ Non-refoulement)

นอกจากนี้ กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ. 1948 และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966 ยังช่วยเสริมหลักการคุ้มครองผู้ลี้ภัยในระดับสากล

 

ผู้ลี้ภัย
อิดลิบ, เขตผู้ว่าการอิดลิบ, ซีเรีย – ค่ายผู้ลี้ภัยสงครามกลางเมือง

 

แนวทางการคุ้มครองผู้ลี้ภัยในระดับภูมิภาค

การคุ้มครองผู้ลี้ภัยมีแนวทางที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคของโลก โดยขึ้นอยู่กับบริบททางกฎหมาย สังคม และการเมืองของแต่ละพื้นที่ ซึ่งแนวทางหลักที่ใช้ในระดับภูมิภาค ได้แก่

1. สหภาพยุโรป (EU) – ระบบลี้ภัยร่วมยุโรป (Common European Asylum System – CEAS)

ในยุโรป ระบบการลี้ภัยร่วมแห่งยุโรป หรือ Common European Asylum System (CEAS) เป็นระบบที่กำหนดมาตรฐานร่วมกันของการให้สถานะผู้ลี้ภัยในประเทศสมาชิก EU โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสม่ำเสมอและเป็นธรรมในการพิจารณาคำขอลี้ภัย ระบบนี้ประกอบด้วยกฎหมายและมาตรการที่สำคัญ เช่น

  • Dublin Regulation ซึ่งเป็นข้อบังคับที่กำหนดให้ประเทศที่ผู้ลี้ภัยเดินทางเข้ามาครั้งแรกเป็นประเทศที่รับผิดชอบในการพิจารณาคำขอลี้ภัย สิ่งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ลี้ภัยยื่นขอลี้ภัยในหลายประเทศ (asylum shopping) แต่ขณะเดียวกันก็สร้างภาระให้กับประเทศแนวหน้าของยุโรป เช่น กรีซ และอิตาลี
  • Qualification Directive กำหนดว่าผู้ลี้ภัยควรได้รับความคุ้มครองอย่างไร รวมถึงสิทธิที่พวกเขาควรได้รับ เช่น สิทธิในการทำงาน การเข้าถึงการศึกษา และบริการทางสังคม
  • Reception Conditions Directive กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับเงื่อนไขการรับผู้ลี้ภัย เช่น การให้ที่พักพิง การดูแลสุขภาพ และการคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง

แม้ EU จะมีระบบที่ครอบคลุม แต่ก็ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับการกระจายภาระระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งทางนโยบาย โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตผู้ลี้ภัยปี 2015 ที่มีผู้อพยพจำนวนมากเดินทางเข้าสู่ยุโรป

2. แอฟริกา – อนุสัญญา OAU ปี 1969

ในทวีปแอฟริกา การคุ้มครองผู้ลี้ภัยอยู่ภายใต้ อนุสัญญาขององค์การเอกภาพแอฟริกา (OAU) ปี 1969 ซึ่งขยายความหมายของ “ผู้ลี้ภัย” ให้ครอบคลุมถึงบุคคลที่หนีจาก ความขัดแย้งทางอาวุธ การรุกรานจากภายนอก การกดขี่ หรือสถานการณ์ที่รบกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชนอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นคำนิยามที่กว้างกว่าข้อกำหนดของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951

หลายประเทศในแอฟริกายังมีนโยบายให้ที่พักพิงชั่วคราวแก่ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ เช่น เคนยา เอธิโอเปีย และยูกันดา ซึ่งให้สิทธิ์ผู้ลี้ภัยบางส่วนสามารถทำงานและใช้ชีวิตในประเทศได้

3. ลาตินอเมริกา – ปฏิญญาคาร์ตาเฮนา ปี 1984

ในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง พิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ (Cartagena Declaration) ปี 1984 ได้ขยายความหมายของผู้ลี้ภัยให้ครอบคลุมถึงผู้ที่หนีจาก ความรุนแรงทั่วไป การละเมิดสิทธิมนุษยชน และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งแตกต่างจากนิยามแคบ ๆ ของอนุสัญญาปี 1951 ที่เน้นเรื่องการข่มเหงส่วนบุคคล

ประเทศในภูมิภาคนี้ เช่น โคลอมเบีย เปรู และเอกวาดอร์ มักมีนโยบายที่เปิดกว้างต่อผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะจากเวเนซุเอลา ซึ่งเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองอย่างรุนแรง

4. สหรัฐอเมริกา – Refugee Act of 1980

สหรัฐฯ มีกฎหมาย อนุสัญญาปี ค.ศ. 1951 ว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย (Refugee Act of 1980) ซึ่งกำหนดกระบวนการขอลี้ภัยอย่างเป็นทางการ โดยอิงตามมาตรฐานของอนุสัญญาปี 1951 และพิธีสารปี 1967 อย่างไรก็ตาม นโยบายด้านผู้ลี้ภัยของสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงตามรัฐบาลแต่ละสมัย เช่น การจำกัดโควตาผู้ลี้ภัยในยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการขยายโควตาในยุคของโจ ไบเดน

 

ผู้ลี้ภัย
อิดลิบ, เขตผู้ว่าการอิดลิบ, ซีเรีย

 

ประเทศไทยและการคุ้มครองผู้ลี้ภัย

สถานะของไทยต่ออนุสัญญาผู้ลี้ภัย

 

แม้ว่า ประเทศไทยไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951 และพิธีสารปี 1967 แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา กัมพูชา และลาว

เหตุผลที่ไทยไม่ได้เข้าร่วมอนุสัญญาผู้ลี้ภัยปี 1951

  1. ข้อกังวลด้านความมั่นคง – ไทยมองว่าการให้สถานะผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการอาจนำไปสู่ความท้าทายด้านความมั่นคง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มติดอาวุธเคลื่อนไหว
  2. ภาระทางเศรษฐกิจ – ไทยเกรงว่าหากให้สถานะผู้ลี้ภัยตามกฎหมายสากล อาจต้องแบกรับภาระด้านงบประมาณและสวัสดิการสำหรับผู้ลี้ภัย
  3. นโยบายการบริหารแรงงานข้ามชาติ – ไทยมีแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก การให้สถานะผู้ลี้ภัยอาจซับซ้อนต่อการบริหารแรงงานและนโยบายตรวจคนเข้าเมือง
  4. ความสัมพันธ์ทางการทูต – ไทยต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายลี้ภัยของไทย

 

แนวทางที่ไทยใช้แทนการลงนามอนุสัญญา

แม้ไทยจะไม่ได้ลงนามในอนุสัญญา 1951 แต่ก็มีมาตรการคุ้มครองผู้ลี้ภัยในรูปแบบของ การให้ที่พักพิงชั่วคราว เช่น

  • ค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดน เช่น ค่ายแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งมีผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาหลายหมื่นคน
  • โครงการให้สิทธิ์อยู่ชั่วคราวสำหรับผู้ลี้ภัยในเมือง (Urban Refugees) โดยมีการทำงานร่วมกับยูนิเซฟ (UNHCR)
  • การส่งตัวผู้ลี้ภัยไปยังประเทศที่สาม (Resettlement) ซึ่งไทยได้ร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย

 

แม้ไทยยังไม่ลงนามในอนุสัญญาผู้ลี้ภัย แต่มีแนวโน้มในการปรับปรุงนโยบาย เช่น

  • การออก “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน” ในปี 2019 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัยโดยไม่ต้องอาศัยอนุสัญญาสากล
  • การพัฒนาโครงการนำร่องเพื่อออกใบอนุญาตทำงานให้กับผู้ลี้ภัยบางกลุ่ม

กล่าวโดยสรุป แม้ไทยจะไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาผู้ลี้ภัย แต่ก็มีมาตรการคุ้มครองผู้ลี้ภัยในแบบของตนเอง ซึ่งยังคงต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินการตามระเบียบดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้เข้ารับการคัดกรองยังคงถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ซึ่งอาจส่งผลให้บุคคลเหล่านี้ถูกจับกุม ควบคุมตัว และดำเนินคดีก่อนที่จะได้รับการพิจารณาตามกระบวนการของกลไกคัดกรอง hrw.org

 

เพื่อให้การคุ้มครองผู้ลี้ภัยในประเทศไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากล จำเป็นต้องมีการปรับปรุงกลไกคัดกรองและนโยบายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการคัดกรองที่เป็นธรรม และได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง

 

ผู้ลี้ภัย
อันเตป กาเซียนเตป ตุรกี – ค่ายผู้ลี้ภัย – เหตุแผ่นดินไหว ในปี 2023

 

แนวโน้มและความท้าทายของกฎหมายผู้ลี้ภัยในปี 2025

 

  1. การเข้มงวดนโยบายในยุโรปและสหรัฐฯ
    หลายประเทศกำลังเข้มงวดขึ้นกับนโยบายการรับผู้ลี้ภัย โดยพยายามจำกัดจำนวนผู้อพยพผ่านมาตรการควบคุมพรมแดนและกฎหมายใหม่ที่ลดสิทธิในการขอลี้ภัย
  2. ผู้ลี้ภัยจากสภาพอากาศ (Climate Refugees)
    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดวิกฤตผู้ลี้ภัยกลุ่มใหม่ที่หนีจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม พายุ และภัยแล้ง ปัจจุบันยังไม่มีกรอบกฎหมายระหว่างประเทศที่ให้การคุ้มครองชัดเจนสำหรับผู้ลี้ภัยประเภทนี้
  3. สงครามและความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ
    ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและแอฟริกายังคงทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมาก โดยเฉพาะจากซีเรีย อัฟกานิสถาน และซูดาน ประเทศปลายทางอย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันในการจัดการปัญหาผู้ลี้ภัยในระยะยาว

 

กฎหมายคุ้มครองผู้ลี้ภัยยังคงมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อย่างไรก็ตาม หลายประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการให้ความคุ้มครองและการควบคุมพรมแดน แนวโน้มในปี 2025 บ่งชี้ว่าความท้าทายเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตผู้อพยพทั่วโลก

 
 
 

เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ  : 

  1. ลดปัญหาขยะมูลฝอยชุมชน! ไทยพัฒนา “เครื่องคัดแยกขวดและกระป๋อง”
  2. น่าเป็นห่วง! สัตว์ป่า 46,300 ชนิด เสี่ยงสูญพันธุ์ วันสัตว์ป่าโลก เร่งระดมทุนหยุดยั้งการสูญเสีย

 

อ้างอิง :

  1. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร และไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. ๒๕๖๒ 
  2. ขอให้ยกเว้นการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองกับผู้เข้ารับการคัดกรองตามกลไกคัดกรองแห่งชาติ