เมื่อ EV ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย! รถพลังงานไฮโดรเจนพร้อมท้าชิง “รถพลังงานสะอาด” ใครจะเป็นผู้นำถนนไร้มลพิษ?

เมื่อ EV ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย! รถพลังงานไฮโดรเจนพร้อมท้าชิง “รถพลังงานสะอาด” ใครจะเป็นผู้นำถนนไร้มลพิษ?

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การมุ่งสู่สังคมไร้คาร์บอนกลายเป็นเป้าหมายสำคัญระดับโลก ภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ จึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ โดยมีเทคโนโลยียานยนต์ 2 แนวทางที่น่าจับตามอง นั่นคือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน (FCEV) เมื่อโลกไม่ได้มีแต่รถ EV ที่ลดคาร์บอนได้ มาทำความรู้จักเทคโนโลยีรถพลังงานไฮโดรเจนกันดีกว่า ว่ามีความน่าสนใจอย่างไร? แล้วจะมีความเหมือนหรือแตกต่างจากรถ EV อย่างไรกันบ้าง

 

 

 

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ผู้นำการเปลี่ยนแปลง

 

รถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยจุดเด่นหลายประการ

ข้อดี รถยนต์ EV

  • ประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง โดยสามารถแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกลได้ถึง 90%
  • โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้าพัฒนาไปมากแล้ว
  • ต้นทุนการผลิตลดลงต่อเนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่
  • บำรุงรักษาง่าย เนื่องจากมีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่า

 

ข้อจำกัด

  • ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ค่อนข้างนาน
  • ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งยังจำกัด ส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 600 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งรอบ 100%
  • แบตเตอรี่มีน้ำหนักมาก ส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
  • การกำจัดแบตเตอรี่เก่าอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

 

รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน (FCEV) ทางเลือกที่น่าสนใจ

 

รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนใช้เซลล์เชื้อเพลิงในการแปลงไฮโดรเจนเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยมีน้ำเป็นผลพลอยได้เพียงอย่างเดียว โดยรถยนต์ประเภทนี้ ได้มีการเร่งผลักดันในเรื่องของการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ที่เป็นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อช่วงปี 2021 ที่ผ่านมานี่เอง ถือเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก

โดยในปี 2023 ก็ได้มีข่าวเกี่ยวกับรถพลังงานไฮโดรเจน ออกมาให้เราได้เห็นกัน โดยเฉพาะบริษัทโตโยต้า ที่ได้ทำการพัฒนารถพลังงานไฮโดรเจน ออกมาได้บรรลุตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้มาอย่างยาวนาน และครั้งนี้ก็มาพร้อมกับรุ่น Mirai Gen 2 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ทางโตโยต้านั้นได้ต่อยอดเกี่ยวกับการใช้พลังงานจากไฮโดรเจนเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนรถยนต์เพื่อให้เกิดประโยชน์ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้มากที่สุด

ซึ่งความพิเศษของรถพลังงานไฮโดรเจนนี้นั้นก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องของน้ำมันที่แพงจนกู่ไม่กลับนี้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการทำงานนั้นจะทำงานผ่านเซลล์เชื้อเพลิงที่มีการเติมไฮโดรเจนเข้าไป โดยไฮโดรเจนนี้ก็จะถูกเปลี่ยนมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ และจะปล่อยของเสียออกมาเพียงเฉพาะไอน้ำเท่านั้น

 

ข้อดีรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน

 

  • เติมเชื้อเพลิงได้รวดเร็วเหมือนรถน้ำมัน (3-5 นาที)
  • ระยะทางวิ่งต่อการเติมหนึ่งครั้งสูง (500-600 กิโลเมตร)
  • ประหยัดเรื่องของค่าบำรุงรักษา
  • ไม่มีปัญหาเรื่องการกำจัดแบตเตอรี่
  • เหมาะกับยานพาหนะขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร

ข้อจำกัด

  • ต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวยังสูง
  • โครงสร้างพื้นฐานสถานีเติมไฮโดรเจนยังมีน้อย
  • ประสิทธิภาพโดยรวมต่ำกว่า EV เนื่องจากการสูญเสียพลังงานในกระบวนการผลิตและจัดเก็บไฮโดรเจน
  • ราคารถยังสูงกว่า EV มาก

 

 

แล้ว รถยนต์ EV กับ รถพลังงานไฮโดรเจน แบบไหนดีกว่ากัน?

ต้องยอมรับว่า รถยนต์ทั้ง 2 ประเภทนี้ มุ่งเน้นไปที่เรื่องของการลดการปล่อยคาร์บอนออกมา ซึ่งนั่นก็ถือเป็นการพัฒนานวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นจะเปรียบเทียบรถทั้ง 2 ประเภทให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ดังนี้

ระยะเวลาเติมพลังงาน

  • รถ EV: ใช้เวลา 45-60 นาที (หรือ 20-25 นาทีสำหรับที่ชาร์จกำลังไฟสูง)
  • รถไฮโดรเจน: ใช้เวลาเพียง 3-10 นาที ได้เปรียบกว่าชัดเจน

 

ค่าใช้จ่ายในการเติมพลังงาน

  • รถ EV: ประมาณ 400-500 บาทต่อครั้ง
  • รถไฮโดรเจน: ประมาณ 1,000 บาทต่อการเติมเต็มถัง

 

ค่าบำรุงรักษา

  • รถ EV: ประมาณ 2,000 บาทต่อครั้ง
  • รถไฮโดรเจน: ประมาณ 15,000 บาทต่อครั้ง (แพงกว่ามากเพราะเป็นเทคโนโลยีใหม่)

 

ระยะทางวิ่ง

  • รถ EV: เฉลี่ย 400-500 กม. (สูงสุด 770 กม. สำหรับ Mercedes-Benz EQS 450+)
  • รถไฮโดรเจน: เฉลี่ย 500-600 กม. (สูงสุด 647 กม. สำหรับ Toyota Mirai XLE)

 

สถานีเติมพลังงาน

  • รถ EV: มีจุดชาร์จกระจายตามห้างและปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ
  • รถไฮโดรเจน: มีเพียงสถานีเดียวที่ปั๊ม ปตท. จังหวัดชลบุรี

 

ราคารถ

  • รถ EV: เฉลี่ย 1-2 ล้านบาท (รุ่นไฮเอนด์อาจสูงถึง 8.7 ล้านบาท)
  • รถไฮโดรเจน: ประมาณ 2 ล้านบาท สำหรับ Toyota Mirai XLE

 

 

มุมมองต่อไปในอนาคต

 

ทั้งสองเทคโนโลยีมีแนวโน้มที่จะอยู่ร่วมกันในอนาคต โดยแต่ละประเภทจะเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน:

  • EV เหมาะกับการเดินทางในเมืองและระยะทางไม่ไกล
  • FCEV เหมาะกับการขนส่งระยะไกลและยานพาหนะเชิงพาณิชย์

 

อย่างไรก็ดี ในอนาคตรถพลังงานไฮโดรเจนมีศักยภาพที่จะถูกลงเมื่อเทคโนโลยีแพร่หลายขึ้น แต่ในระยะสั้นถึงกลาง รถ EV ยังเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและพร้อมใช้งานมากกว่า

การมุ่งสู่สังคมไร้คาร์บอนจำเป็นต้องใช้หลากหลายเทคโนโลยีประกอบกัน การพัฒนาทั้ง EV และ FCEV ควบคู่กันไปจะช่วยเพิ่มทางเลือกและความยืดหยุ่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

 

บทสรุป

การเลือกระหว่าง EV และ FCEV ไม่ใช่การแข่งขันที่ต้องมีผู้ชนะเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการสร้างสังคมไร้คาร์บอน ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จคือการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ที่จะช่วยให้ทั้งสองเทคโนโลยีสามารถเติบโตและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

อ้างอิง

https://www.erc.or.th/th/energy-articles/2890

https://www.krungsri.com/th/plearn-plearn/know-hydrogen-vehicle-2023

https://globthailand.com/hydrogenfuelcell-singapore-15082023/

https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2708296

https://www.pptvhd36.com/automotive/news/184212

https://www.techhub.in.th/hydrogen-vs-ev-car/

http://siweb1.dss.go.th/news/show_abstract.asp?article_ID=7272

https://thaibizsingapore.com/news/%e0%b8%81/directions/singapore-hydrogen-fuel-cell-trial-for-fleet-vehicles/