ถอดรหัส ‘สเต็มเซลล์’ แพทย์บูรณาการ ความหวังฟื้นฟูชีวิตใหม่ของมนุษยชาติ

ถอดรหัส ‘สเต็มเซลล์’ แพทย์บูรณาการ ความหวังฟื้นฟูชีวิตใหม่ของมนุษยชาติ

สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิด ถือเป็นการปฏิวัติวงการรักษาด้วยศักยภาพที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ฟื้นฟูอวัยวะที่เสื่อมสภาพ และรักษาโรคที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นความหวังใหม่สำหรับโลกการรักษาในอนาคต

 

 

ปัจจุบันนี้มีโรคต่าง ๆ ที่อุบัติใหม่มากมาย และมีความซับซ้อนของโรคสูง ลำพังเพียงการวิจัยด้านเภสัชศาสตร์ และการผ่าตัดทำหัตถการ ไม่เพียงพอต่อกระบวนการรักษา วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่จึงมีการค้นพบการใช้สเต็มเซลล์ เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา

สเต็มเซลล์สามารถรักษาโรคที่เราคาดว่าจะรักษาไม่ได้ อาทิ มะเร็งเม็ดเลือด เบาหวาน และอัลไซเมอร์  แต่สิ่งที่เทคโนโลยีนี้เผชิญอยู่ในขณะนี้คือข้อจำกัดทางจริยธรรมและกฎหมาย แต่ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการวิจัย สเต็มเซลล์กำลังสร้างความหวังใหม่ในวงการแพทย์ทั่วโลก พร้อมผลักดันให้เกิดการฟื้นฟูสุขภาพที่ล้ำสมัยในอนาคต

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถพัฒนาเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายได้ รวมถึงซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพ จึงมีความสำคัญในการฟื้นฟูสุขภาพและการรักษาโรค เซลล์ต้นกำเนิดสามารถแบ่งตัวและพัฒนาได้อย่างไม่จำกัด และพบได้จากแหล่งต่าง ๆ เช่น เลือดสายสะดือ (Cord Blood) เนื้อเยื่อสายสะดือ (Cord Tissue) และเนื้อเยื่อในร่างกายผู้ใหญ่ เช่น ไขกระดูกหรือไขมัน  

 

 

 

แหล่งของสเต็มเซลล์และการใช้งาน

  1. เลือดสายสะดือ (Cord Blood) เหมาะสำหรับโรคที่เกี่ยวกับระบบเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวและธาลัสซีเมีย
  2. เนื้อเยื่อสายสะดือ (Cord Tissue) มีความยืดหยุ่นในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับข้อ กระดูก เบาหวาน และโรคระบบภูมิคุ้มกัน
  3. เนื้อเยื่อหุ้มรก (Amnion Tissue) สามารถใช้กับผู้ป่วยที่ไม่ใช่เครือญาติ และช่วยฟื้นฟูโรคตับ ระบบประสาท และสมอง เช่น อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน
  4. สเต็มเซลล์จากผู้ใหญ่ (Adult Stem Cell) นำมาจากไขกระดูก ไขมัน หรือเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย เพื่อการซ่อมแซมเซลล์ที่เฉพาะเจาะจง  

 

 

จุดแข็งของสเต็มเซลล์

การฟื้นฟูเนื้อเยื่อ: สเต็มเซลล์สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ได้ ทำให้มีศักยภาพในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย

การรักษาโรค: สเต็มเซลล์สามารถใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน

การวิจัย: สเต็มเซลล์ช่วยให้นักวิจัยสามารถศึกษาการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ในร่างกายได้อย่างละเอียด

 

 

จุดอ่อนของสเต็มเซลล์

ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง: การใช้สเต็มเซลล์บางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้

การปฏิเสธจากร่างกาย: สเต็มเซลล์ที่มาจากผู้บริจาคอาจถูกปฏิเสธโดยระบบภูมิคุ้มกันของผู้รับ

 

 

ความก้าวหน้าทางการแพทย์

สเต็มเซลล์ได้ถูกพัฒนาและนำมาใช้ในการรักษาโรคหลายประเภท เช่น การปลูกถ่ายไขกระดูกสำหรับโรคมะเร็งเม็ดเลือด การซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจ และการสร้างเนื้อเยื่อเพื่อปลูกถ่ายสำหรับผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของอวัยวะ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังเผชิญกับความท้าทายในด้านจริยธรรมและข้อจำกัดทางกฎหมายในหลายประเทศ 

สำหรับความก้าวหน้าล่าสุดในงานวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยนำเสนอความหวังใหม่ๆ สำหรับวงการแพทย์ในหลายด้าน ดังนี้:

 

  1. การรักษาโรคพาร์กินสัน การทดลองทางคลินิกด้วย “bemdaneprocel” ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่ผลิตสารโดปามีน ได้แสดงผลลัพธ์ที่น่าพอใจในผู้ป่วยพาร์กินสัน หลังจากการรักษา 18 เดือน ผู้ป่วยมีการฟื้นตัวของการทำงานของมอเตอร์และการควบคุมอาการโรค โดยเซลล์ต้นกำเนิดนี้อาจช่วยฟื้นฟูการผลิตโดปามีนที่จำเป็นสำหรับการจัดการโรค ทั้งนี้การทดลองเพิ่มเติมยังอยู่ในแผนเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของการรักษา

 

  1. วิศวกรรมเนื้อเยื่อหัวใจ การพัฒนาเนื้อเยื่อหัวใจจากเซลล์ต้นกำเนิดเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อหัวใจที่เสียหาย ซึ่งเป็นความหวังใหม่สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือบาดเจ็บจากอาการหัวใจวาย

 

  1. การสร้างเซลล์ตับใหม่ การวิจัยเกี่ยวกับการสร้างเซลล์ตับจากเซลล์ต้นกำเนิดอาจปฏิวัติการรักษาโรคตับในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นในการปลูกถ่ายตับได้ในระยะยาว

 

 

 

 

  1. การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Hematopoietic Stem Cell Transplantation) การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดประเภทนี้ยังคงเป็นมาตรฐานทองคำในการรักษาโรคทางเลือด เช่น ลูคีเมียและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยการวิจัยในปัจจุบันมุ่งเน้นการเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของกระบวนการนี้ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ป่วย

 

  1. เซลล์ต้นกำเนิดพลูริโพเทนต์แบบเหนี่ยวนำ (iPSCs) เซลล์ iPSCs เป็นอีกทางเลือกที่ปราศจากข้อกังวลทางจริยธรรมเมื่อเทียบกับเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน และยังถูกใช้ในการศึกษากลไกของโรคและพัฒนาการรักษาเฉพาะบุคคลอย่างต่อเนื่อง

 

  1. การบำบัดแบบฟื้นฟูสำหรับภาวะทางระบบประสาท งานวิจัยเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดมีความก้าวหน้าในด้านการรักษาโรคเสื่อมประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์ อาการบาดเจ็บของไขสันหลัง และอาการบาดเจ็บสมอง โดยส่งเสริมการฟื้นฟูเนื้อเยื่อประสาทในระดับเซลล์

 

ความก้าวหน้าดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ของเซลล์ต้นกำเนิดในด้านการแพทย์ฟื้นฟู แม้ว่าจะยังมีความท้าทายในเชิงจริยธรรมและเทคนิคอยู่ แต่ความร่วมมือและนวัตกรรมที่ต่อเนื่องในด้านนี้ย่อมสัญญาถึงอนาคตที่สดใสสำหรับการรักษาในหลายโรค

 

 

 

 

สถานการณ์ในประเทศไทย

ประเทศไทยเริ่มให้ความสำคัญกับสเต็มเซลล์ตั้งแต่ปี 2542 โดยมีการจัดตั้งศูนย์บริจาคสเต็มเซลล์ที่ไม่ใช่เครือญาติ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการปลูกถ่ายเซลล์ปัจจุบัน การใช้งานสเต็มเซลล์ในไทยยังจำกัดอยู่เพียงสองกลุ่มโรคหลัก ได้แก่ โรคเลือดและโรคทางตา อย่างไรก็ตาม การพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยียังคงดำเนินต่อไปเพื่อเพิ่มขอบเขตการรักษาในอนาคต  

 

 

การวิจัยเด่น  ๆ ด้านสเต็มเซลล์ของประเทศไทย

ด้านการวิจัย ประเทศไทยมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสเต็มเซลล์จำนวนมากโดยอยู่ในสถาบัน หรือมหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ ที่จะสามารถพัฒนาต่อยอดสเต็มเซลล์สู่การรักษาโรค ซึ่งภาครัฐได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัย และมีผลงานวิจัยจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จ และเผยแพร่เป็นผลงานการวิจัยระดับชาติออกเผยแพร่สู่สาธารณชน อาทิ

 

 ปี 2555 -จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสบความสำเร็จในผลิตเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนสำเร็จเป็นครั้งแรก

 – มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวิธีแยกสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำเพื่อใช้รักษาโรคเป็นครั้งแรกของโลก

ปี 2559 – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิจัยและพัฒนาการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของผิวตาให้แก่ผู้ป่วยโรคตาในโรงพยาบาลจุฬาฯสำเร็จ เป็นครั้งแรกของประเทศไทย

 – มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำการวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ในโครงสร้างแข็งเพื่อนำไปใช้พัฒนาการการสร้างกระดูก

 ปี 2562 – มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ประสบความสำเร็จในการคิดค้นการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากผิวหนัง เพื่อรักษาผิวกระจกตาเป็นครั้งแรกของประเทศไทย

ปี 2563 มีการวิจัยเกี่ยวกับการใช้เซลล์ของร่างกายเพื่อฟื้นฟูร่างกายของสมองที่มีความสำคัญต่อหลอดเลือดสมอง (โรคหลอดเลือดสมอง) และโรคทางระบบประสาท เช่น โรคเกี่ยวกับกินสันและโรคอัลไซเมอร์

ปี 2564 มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ exosomes ถึงเซลล์เป้าหมายที่นำไปสู่การส่งยาไปยังเป้าหมายโดยตรง เช่น สมอง

ปี 2565 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดตัว StemAktiv นวัตกรรมจากงานวิจัย เพื่อสูตรผสมสารสกัดสมุนไพรไทยกว่า 10 ชนิด กระตุ้นการทำงานของสเต็มเซลล์ ส่งเสริมการทำงานของเซลล์ต้นกำเนิดของผิวหนังและเส้นผม

ปี 2566 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ร์รักษาผู้ป่วยโรคผิวหนังแข็งที่มีปอดเป็นพังผืด

ปี 2567 -กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์-คณะแพทยศาสตร์ศิริราช จับมือวิจัย-พัฒนาผลิตภัณฑ์ยีนบำบัดและเซลล์บำบัด สำหรับโรคจอตาเสื่อมที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยใช้สเต็มเซลล์จากไขกระดูก

 

 

คาดการณ์อนาคต

ด้วยมูลค่าตลาดที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 6,870 ล้านดอลลาร์ (2.37 แสนล้านบาท) ในปี 2559 สู่ 15,630 ล้านดอลลาร์ (5.39 แสนล้านบาท) ในปี 2568 สเต็มเซลล์กำลังกลายเป็นหนึ่งในแนวทางการแพทย์ฟื้นฟูที่มีศักยภาพสูง การค้นพบวิธีสร้างเซลล์ใหม่ และการวิจัยเกี่ยวกับการสร้างเนื้อเยื่อหรืออวัยวะจากสเต็มเซลล์เพื่อใช้ในการปลูกถ่าย ช่วยสร้างความหวังใหม่ให้กับวงการแพทย์ทั่วโลก  

ในอนาคต สเต็มเซลล์อาจเป็นคำตอบที่ช่วยแก้ปัญหาความต้องการอวัยวะบริจาคและการรักษาโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของมนุษย์อย่างมหาศาล.