วิธี “กินดี สุขภาพดี” แบบง่ายๆ ลดเสี่ยงโรคหัวใจ

วิธี “กินดี สุขภาพดี” แบบง่ายๆ ลดเสี่ยงโรคหัวใจ

ทุกวันนี้คนตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นอับดับต้นๆ ของประเทศ เป็นผลมาจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจากการบริโภค หากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนับเป็นต้นทุนที่น้อยที่สุดในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรค

จำนวน 432,943 คน คือ ตัวเลขจำนวนคนไทยที่ป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด จากสถิติล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุข ที่เปิดเผย ณ วันที่ 16 กันยายน 2561 โดยจากจำนวนดังกล่าว มีอัตราการตายถึง 20,855 คน ต่อปี หรือ ชั่วโมงละ 2 คน อ้างอิงจาก ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข พบว่า อัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ ต่อประชากร 100,000 คน ปี พ.ศ. 2555 – 2559 เท่ากับ 23.4, 26.9, 27.8, 29.9 และ 32.3 แนวโน้ม การเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่าโรคหัวใจและหลอดเลือดมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ผศ. ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า “จากสถิติจะเห็นว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เราจะเห็นคนรอบตัวที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ หรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เยอะมาก เนื่องด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้ ทั้งเรื่องของอาหารการกิน สภาวะแวดล้อม ความเครียด ทุกอย่างส่งผลต่อปัจจัยที่จะเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค หรือสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรังได้”

“ด้วยพฤติกรรมคนไทย ที่บริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม สูงมาก ยกตัวอย่างปริมาณน้ำตาลที่แนะนำต่อวันคือ 6 ช้อนชา แต่คนไทยกลับบริโภคสูงถึง 28.4 ช้อนชาต่อวัน (***ข้อมูลจาก GAIN (Global Agricultural Information Network ปี 2557) ,บริโภคน้ำมันในปริมาณ 12 ช้อนชาต่อวัน จากปริมาณที่แนะนำคือ 6 ช้อนชาต่อวัน และบริโภคเกลือ ปริมาณ 2-3 ช้อนชาต่อวัน จากปริมาณที่แนะนำคือ 1 ช้อนชาต่อวัน เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคในกลุ่ม NCDs (Non-communicable diseases) ซึ่งเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ,โรคหลอดเลือดสมอง ,โรคเบาหวาน ,โรคมะเร็งปอดและถุงลมโป่งพอง ,โรคอ้วนลงพุง ,โรคความดันสูง และโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่มีความสัมพันธ์กับนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต โดยจะค่อย ๆ สะสมอาการทีละนิด และทวีความรุนแรง สุดท้ายจะเกิดอาการเรื้อรังในที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้องและทันเวลา ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยและคนรอบข้าง”

“ระดับคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือดสูง รวมถึงการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง ล้วนแล้วเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด นักวิจัยเชื่อว่าการบริโภคธัญพืช ธัญชาติ ผัก ผลไม้ ถั่วเปลือกแข็ง สามารถช่วยยืดอายุขัย และทำให้สุขภาพดี อาทิ โปรตีนในนมถั่วเหลือง มีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวม และลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีกับสุขภาพ หรือ LDL Cholesterol และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ตลอดจนยับยั้งการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ลดการอักเสบของหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจ”

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม โรคไม่ติดต่อ NCDs เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทย โดยมีคนไทยป่วยเป็น โรค NCDs ถึง 14 ล้านคน เสียชีวิตปีละกว่า 300,000 คน และคาดว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี

“ โรคหัวใจและหลอดเลือด เมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้จะสามารถรักษาได้ก็จริง แต่การป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรค น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะทำได้ง่ายกว่า ประหยัดกว่า การสร้างความตระหนักรู้ ถึงสถานการณ์ของโรคหัวใจ และการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหาร ลด ละ เลิก อาหารหวานจัด เค็มจัด และมันจัด ละเว้นการสูบบุหรี่ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้ลดจำนวนผู้ป่วยลงได้” ผศ.ดร.ฉัตรภา กล่าว

ข้อมูลจากโรงพยาบาลสุขุมวิทระบุว่า อาหารที่ทานแล้วดีต่อหัวใจ เช่น การเลือกรับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลาย เลือกอาหารที่ใช้น้ำมันในการปรุง หากทำอาหารทานเองที่บ้าน ควรเลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและมัน (ปลาทะเล ปลาทู ปลาทูน่า ปลา แซลมอน ไข่ขาว) ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ได้แก่ ไส้กรอก กุนเชียง หมูยอ หมูหยอง หมูแผ่น ฯลฯ

เลือกใช้น้ำมันพืช ให้เหมาะ สมกับวิธีการปรุงอาหาร โดยใช้น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง สำหรับผัด หลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีไขมันทรานส์ ซึ่งส่วนใหญ่พบได้ใน ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่และอาหารทอดซ้ำ รับประทานอาหารรสชาติอ่อนเค็ม ไม่ควรเติมเครื่อง ปรุงที่มีรสเค็มต่าง ๆ เช่น ซีอิ๊วขาว น้ำปลา เกลือ น้ำมันหอย

ควรใช้เครื่องเทศหรือสมุนไพรเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติอาหารแทน เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว เป็นต้น ควรเพิ่มปริมาณใย อาหารจากผักผลไม้ ข้าวหรือแป้งไม่ขัดสีและถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ รับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลาย ครบ 5 สี (เขียว ขาว แดง ม่วง เหลือเข้ม) รวมทั้งออกกำลังกายให้เหมาะสม สัปดาห์ละ 150 นาที

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
“วัดท่าไม้” ฉลองวันแรงงาน เลี้ยงอาหาร-กินทุเรียนฟรี ไม่อั้น!