เปิดเคล็ดลับมัดใจคนรุ่นใหม่ที่ผู้ประกอบการควรรู้! ทำอย่างไรจึงจะซื้อใจเจนฯ ใหม่ไฟแรง ให้ร่วมงานกันได้แบบถึงไหนถึงกัน
อีกหนึ่งปัญหากวนใจเจ้าของกิจการ คือบุคลากรรุ่นใหม่มักลาออกบ่อย ทั้งจากปัญหาต่างๆ จากภายใน หรือประทั่งจากตัวคนรุ่นใหม่เองที่มีจุดเดือดต่ำ มีอิสระและความเป็นตัวเองสูง วันนี้เรามีแนวทางในการสร้างแรงจูงใจ เพื่อมัดใจคนเจนฯ ใหม่ ให้อยู่ร่วมงานแบบถึงไหนถึงกัน และสามารถเปลี่ยนผ่านรับช่วงงานต่อจากคนรุ่นก่อนได้
คนรุ่นใหม่ อยู่ไม่ค่อยทน ลาออกบ่อย ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปถ้ารู้จักพวกเขาดีพอ จริงหรือ ?
คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเรียนจบมาในปัจจุบัน ที่กำลังจะเข้ามาเป็นแรงงานในองค์กรต่างๆ ซึ่งอย่างที่ทราบว่าธุรกิจไม่สามารถดำรงอยู่ได้ถ้าขาดการเปลี่ยนถ่ายระหว่างคนรุ่นก่อน และคนรุ่นใหม่ ซึ่งประเด็นคือ คนรุ่นใหม่ที่เห็นได้บ่อยในปัจจุบันมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ทำให้บางครั้ง ‘เกิดความไม่เข้าใจระหว่างการทำงาน กับการใช้ชีวิต’ ให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหน คือหน้าที่ ที่ควรทำ อย่างไหนคือชีวิตส่วนตัว ปนเปกันไปหมดท้ายที่สุด องค์กรไม่สามรรถรักษาคนรุ่นใหม่ไว้ได้
ดังนั้น การรักษาคนรุ่นใหม่ เราต้องเข้าใจเขาก่อน เพื่อการทำงานร่วมกัน
ประเด็นแรก นิสัยของนักศึกษาจบใหม่ในปัจจุบันที่เกิดและเติบโตในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู มีนิสัยใส่ใจเทคโนโลยี ความล้ำสมัย ชอบที่จะเรียนรู้จากการลงมือทำด้วยตัวเอง กล้าคิด กล้าทำ
ประเด็นที่สอง คนรุ่นใหม่ สนใจในการทำงานกับบริษัทที่มีขนาดกลางถึงใหญ่ขึ้นไป เพราะต้องการมองหางานที่ให้ความมั่นคงและมีลู่ทางในการเติบโต ทั้งมีจุดเด่นคือใช้เทคโนโลยีได้อย่างคล่องตัว เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น
ประเด็นที่สาม การสื่อสารระหว่างคนต่างวัยเป็นประเด็นสำคัญ เห็นได้ชัดว่าการสื่อสารระหว่างนักศึกษาจบใหม่และพนักงานเก่าค่อนข้างจะมีปัญหาในตอนต้นเสมอ ตรงนี้อาจต้องใส่ใจเป็นพิเศษเพราะการแบกรับความเครียดสะสมไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นใหม่ทำได้ดีนัก ต่างจากคนรุ่นเก่า
ประเด็นที่สี่ เรียนรู้ข้อเสีย นักศึกษาจบใหม่ส่วนใหญ่ ใจร้อน มีความอดทนต่ำ ไม่ชินกับการรอคอย เพราะ เติบโตมากับเทคโนโลยีและการตอบสนองที่รวดเร็ว แม้จะมีความมั่นใจในความคิดตัวเองสูงและกล้าที่จะแสดงออก แต่ไม่ค่อยรอบคอบ และมักมีคำถาม และการให้เหตุผลสั้นๆ จะไม่ช่วยอะไรเลย และ เมื่อเผชิญปัญหา คนกลุ่มนี้จะหนีมากกว่าสู้ และทางเลือกของพวกเขาคือเปลี่ยนงานใหม่นั่นเอง
ประเด็นที่ห้า พวกเขาอาจจะถูกโลกโซเชี่ยลเบี่ยงเบนความสนใจจนไม่เป็นอันทำงานได้ ผลจากการสำรวจพบว่า คนส่วนใหญ่มักจะใช้เวลามากกว่า 25 นาทีกว่าที่จะออกจากโลกโซเชี่ยลและกลับมาตั้งใจทำงานได้ คนรุ่นใหม่บางคนเสพติดโซเซี่ยลมากกว่านั้น
เราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง เพื่อรักษาบุคลากรรุ่นใหม่ให้สามารถเป็นกำลังหลักขององค์กรในอนาคตได้
ใช้ค่าตอบแทนสร้างแรงจูงใจ : 84% ของนักศึกษาจบใหม่ทำงานหนักได้ดี ยิ่งกับบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือและมีระบบการเงินของบริษัทที่ดี ยิ่งถวายหัว ด้วยค่าแรงที่คุ้มค่า รวมทั้งการสร้างคุณค่าในการทำงานอาจจะสามารถเป็นได้ทั้ง การเลื่อนตำแหน่งหรือการเพิ่มเงินเดือน แล้วการให้โบนัสเป็นเงินนั้นจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานได้มาก
สภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน : เจ้าของกิจการก็ควรที่จะสร้างวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน เพื่อให้พนักงานเกิดแรงจูงใจที่จะพัฒนาตัวเองและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทั้งปรับองค์กรให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆเสมอ เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆบวกกับการเปลี่ยนผ่าน Generation ที่คนรุ่นใหม่ทยอยเข้ามาแทนที่ คนทำงานในระดับหัวหน้าหรือตำแหน่งอาวุโสนั้นจะต้องเข้าใจและปรับตัวให้เทคโนโลยีเหมือนกัน นับเป็นการพัฒนาศักยภาพของพนักงานทั้งหมดไปพร้อมๆ กัน
สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่าง Generation อย่างต่อเนื่อง : สถิติของพนักงานรุ่นใหม่ทั่วๆไป รู้สึกว่าการทำงานระหว่างแผนกในองค์กรนั้นไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ นั้นต้องการการพูดคุย หรือ ยินดีที่จะรับฟังผลตอบรับจากการทำงานมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ และมากกว่า 40% ของพนักงานส่วนใหม่แล้วต้องการการพูดคุยแบบต่อหน้าหรือการประชุมเป็นทีมมากว่าการพูดคุยผ่านเครื่องมือสื่อสาร
ดังนั้นแล้วในฐานะที่เราเป็นเจ้าของกิจการหรือหัวหน้างานก็ควรที่จะพูดคุยกับพนักงานแบบต่อหน้าให้มากขึ้น ชื่นชมหรือตำหนิงานไปตามความจริง และอย่าลืมให้กำลังใจ หรือ จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการรู้จักและพูดคุยกันมากขึ้น เพื่อการลดช่องว่างระหว่างวัย
ลดความเครียดในสถานทำงาน : เจ้าของกิจการไม่ควรมองว่าความเครียดหรือความบาดหมาง สภาพมาคุ ต่างๆ ในที่ทำงาน คือเรื่องปกติ มองว่า ปัญหาเหล่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะ 80% ของการผิดพลาดในงานนั้นล้วนเป็นผลมาจากความเครียดสะสม ดังนั้นควรมีการสังเกตความเป็นไปในบริษัทดูบ้าง เพื่อจะได้หาทางปรับปรุงแก้ไข เช่นหากมีเรื่องไม่ลงรอยกัน ควรหาทางไกล่เกลี่ย
ทั้งการตรวจสอบโดยตรง และการทำแบบลับๆ ซึ่งเรื่องนี้เราสามารถหาพนักงานที่ไว้ใจได้คอยเป็นหูเป็นตา แน่นอนว่าเรื่องดราม่ามีอยู่ในทุกองค์กร แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้กระทบกับงานและความมาลงรอยกันระหว่างพนักงาน เรื่องนี้ละเอียดอ่อน ต้องค่อยๆ แก้ไข
ในอนาคต นักศึกษาจบใหม่จะมีทักษะมากพอในการก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้น รับผิดชอบในงานได้มากขึ้น และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าต่อไป ดังนั้น การรักษาขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านจากรุ่นต่อรุ่นเป็นเรื่องสำคัญ และการรักษาพนักงานรุ่นใหม่ยิ่งสำคัญมาก เพราะหากคุณรักษาไว้ได้ ก็จะเกิดผลดีอย่างมาก เพราะว่าเมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง คนรุ่นใหม่เหล่านี้จะเกิดการเรียนรู้งาน และสามารถทดแทนคนเก่าๆ ที่เกษียณอายุ หรือเป็นผู้ช่วยชั้นดีได้ …
สุดท้ายถือเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไป เมื่อถึงเวลา ถึงคราวแยกย้าย ก็ปล่อยเขาไป และหาใหม่มาทดแทน เพราะคนรุ่นใหม่รักความก้าวหน้าและความท้าทาย จะไม่ย่ำกับที่นานๆ
ขอบคุณข้อมูล : bangkokbanksme
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
ทั่วโลกรวมใจ สร้าง “เมืองสุขภาวะ” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
