การเกิดขึ้นของ ‘Generative AI’ ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกออกแบบให้สามารถสร้างเนื้อหาใหม่จากการประมวลผลข้อมูลมหาศาล หากนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ผ่าน 5 แนวทาง จะกลายเป็นผู้ช่วยเอสเอ็มอี สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจเหนือคู่แข่ง

‘Generative AI’ เป็นปัญญาประดิษฐ์ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบให้สามารถสร้างเนื้อหาใหม่จากการประมวลผลข้อมูลมหาศาลในระบบคอมพิวเตอร์ ตามการป้อนคำสั่งของมนุษย์ เช่น ChatGPt กำลังเข้ามามีบทบาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคดิจิทัลมากขึ้นต่อเนื่อง

จากคุณสมบัติที่โดดเด่นในการอำนวยความสะดวก รวดเร็ว สร้างสรรค์ไอเดีย ในด้านต่างๆ ทำให้การใช้งานขยับจากคนทั่วไปสู่ภาคธุรกิจมากขึ้น เป็นไปเพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจ ลดต้นทุนดำเนินการ สร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี

เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะร้านสะดวกซื้อที่เชื่อมโยงซัพพลายเชนการค้ากับเอสเอ็มอีจำนวนมาก ผ่าน 3 กลยุทธ์ให้ ได้แก่ 1.ให้ช่องทางจำหน่าย 2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย มาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดจึงได้จัดกิจกรรมติดอาวุธทางความรู้ให้เอสเอ็มอีก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก AI โดยมี ปฤณ จำเริญพานิช หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้าน ChatGPT และ AI มาให้คำแนะนำเกี่ยวกับประโยชน์ของการนำ Generative AI มาใช้กับธุรกิจเอสเอ็มอี ผ่าน 5 เรื่องหลัก ได้แก่

1. ช่วยคิด : วางกลยุทธ์ด้านการตลาด

กรณีที่เอสเอ็มอี ต้องการออกสินค้าใหม่ AI สามารถช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภครวมถึงข้อมูลการตลาดที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้า ทำให้เอสเอ็มอีสามารถทำนายแนวโน้มตลาดและความต้องการของตลาดในอนาคตได้ อาทิ รูปแบบสินค้าที่ตลาดชื่นชอบ ขนาด/ปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการ เป็นต้น การเข้าใจแนวโน้มเหล่านี้จะช่วยให้เอสเอ็มอี สามารถวางแผนกลยุทธ์การขายและการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. ช่วยเล่า : สร้างเนื้อหาการตลาดอย่างมืออาชีพ

เมื่อวิเคราะห์ตลาดและความต้องการของลูกค้าได้แล้ว มาถึงการทำการตลาด ซึ่งการทำการตลาดในปัจจุบันมีด้วยกันหลายช่องทาง โดยแต่ละช่องทางล้วนมีความต้องการเนื้อหาและรูปแบบเนื้อหาที่แตกต่างกัน

Generative AI สามารถช่วยสร้างเนื้อหาให้มีความน่าสนใจ เหมาะสมกับแพลตฟอร์มของช่องทางการตลาดที่เลือก เช่น TikTok VDO ควรมีเนื้อหาที่จูงใจและสื่อถึงสินค้าได้ตั้งแต่ช่วง 3 วินาทีแรก Generative AI ยังสามารถทำ VDO โฆษณา หรือออกแบบภาพกราฟิกได้ด้วย ทำให้ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตเนื้อหาเหล่านี้

3. ช่วยปรับ : ปรับงบประมาณให้เหมาะสม

หากเอสเอ็มอีต้องการรู้ต้นทุนการทำโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ว่า สินค้าที่จะผลิตออกจำหน่ายไม่ควรมีต้นทุนต่อ Inbox เกินเท่าไหร่ถึงจะคุ้มค่าต้นทุน Generative AI สามารถช่วยวิเคราะห์เรื่องดังกล่าวให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เอสเอ็มอี สามารถปรับต้นทุนการตลาดให้เหมาะสมได้ตามความต้องการ เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็นลง

4.ช่วยเดา : คาดการณ์ความต้องการตลาด

Generative AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความซับซ้อนและปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เอสเอ็มอี เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า แนวโน้มตลาด และข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น เช่น แต่ละจังหวัดควรวางจำหน่ายสินค้าในจำนวนเท่าไหร่ รูปแบบไหน เป็นต้น ซึ่งจะสามารถช่วยให้เอสเอ็มอี คาดการณ์ความต้องการตลาดในอนาคตได้ รวมทั้งยังทำให้ปรับเปลี่ยนแผนการทำงานให้ตรงตามความต้องการตลาดได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขาย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างแม่นยำ

5.ช่วยสร้าง : พัฒนาสินค้าใหม่

กรณีเอสเอ็มอีต้องการต่อยอดสินค้าเดิมที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว แต่ไม่รู้จะผลิตสินค้าอะไร สามารถให้ Generative AI ช่วยวิเคราะห์ได้ เพียงใส่รายละเอียดข้อมูลต่างๆ ให้ชัดเจน เช่น อยากได้กลุ่มลูกค้าเดิม อยากจำหน่ายในราคาเดิม เป็นต้น โดย Generative AI จะนำข้อมูลด้านการตลาดที่มีอยู่มาช่วยวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาสินค้าตัวใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้งาน Generative AI เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ยังแนะนำให้เพิ่มอีก 4 ข้อเข้าไปด้วย ได้แก่ 1.ยิ่งคุย ยิ่งเข้าใจ ยิ่งใส่ข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งวิเคราะห์ข้อมูลได้ละเอียดมากขึ้น, 2.สอนก่อนสั่ง สร้างความเข้าใจในตัวเอสเอ็มอี กับ Generative AI ให้ละเอียด อาทิ ป้อนข้อมูลต่างๆ ของบริษัท และสินค้า สิ่งที่ต้องการ, 3.ซักไซ้ ไล่เลียง สามารถสอบถามในสิ่งที่สงสัยอย่างละเอียด และ4.สั่งให้ละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เคลียร์และละเอียด

จะเห็นได้ว่า การนำ ‘Generative AI’ มาช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี ไม่ใช่เรื่องยากหรือไกลตัว ทุกคนสามารถทำได้ ขอแค่เปิดใจพร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดยุคดิจิทัล และสร้างการเติบโตให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว