เชฟรอน-SPRC จุดพลังอาสา ฟื้นฟูป่าชายเลนระยอง

by ESGuniverse, 20 กรกฎาคม 2567

เชฟรอน-SPRC จุดพลังอาสา ฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนระยอง รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ กลายเป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญของประเทศไทยในอนาคต

 

 

ระบบนิเวศป่าชายเลนมีคุณค่ามหาศาลและนับเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนชั้นดีแหล่งหนึ่งของประเทศ โดยข้อมูลจาก กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง (ทช.) ระบุว่า สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 9.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ต่อปี ซึ่งประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณ 1.73 ล้านไร่ คุณค่าของป่าชายเลนไทย ไม่เพียงเป็นบ้านขนาดใหญ่สำหรับอนุบาลสัตว์น้ำชายฝั่งเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนโรงครัวที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นกำแพงกันภัยธรรมชาติให้แก่คนชายฝั่ง โดยเฉพาะตอนเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2547

ปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน เนื่องจากถูกรุกรานจากการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเติบโตของท่องเที่ยว และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงทำให้ปัจจุบันทุกภาคส่วนต่างหาวิธีร่วมกันฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนคืนกลับมา

ในทุก ๆ ปี บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้จัดกิจกรรมจิตอาสาเพื่อปลูกฝังให้พนักงานมีส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งต่อ ‘พลังใจ’ สู่สังคมอยู่เสมอ โดยกิจกรรม Together We Volunteer ‘อาสาเรียนรู้ ลงมือทำ’

 

 

 

ล่าสุดได้พาพนักงาน บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด พร้อมด้วย บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ในฐานะ One Team ไปยังพื้นที่โครงการ 'เติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย'(Foster Future Forests) เป็นโครงการฟื้นฟูป่าในเมืองจังหวัดระยอง ที่ได้เปิดตัวโครงการไปเมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อมุ่งฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ 100 ไร่ ณ ป่าชายเลนใจกลางเมืองของจังหวัดระยองที่จะเติบใหญ่ในทศวรรษข้างหน้า และกลายเป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญของประเทศไทยในอนาคต

โดยเป็นป่าที่มีลักษณะโดดเด่น เพราะมีระบบนิเวศถึง 3 แบบในพื้นที่เดียว ทั้ง ป่าชายเลน ป่าชายหาด และป่าพรุ ​ซึ่งยังไม่ได้รับการพัฒนา ในบริเวณป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมต่อยอดโอกาสทางเศรษฐกิจและการสร้างอาชีพให้ชุมชนในระยะยาวผ่านแนวทางแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solution) จึงได้ได้ร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และจังหวัดระยอง ร่วมด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ รวมถึงชุมชนในจังหวัดระยองเพื่อพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวสู่ต้นแบบของการฟื้นฟูระบบนิเวศในอนาคต

ผนึกมหาวิทยาลัย
ศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวเมื่อดูผิวเผิน อาจเป็นเพียงการพาพนักงานและชุมชนมาปลูกป่าร่วมกัน แต่เบื้องหลังกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทางมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ศึกษาระบบนิเวศของป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำในด้านพืชพรรณสัตว์ป่า เพื่อประเมินพื้นที่ปลูกป่าจากการศึกษาทางด้านกายภาพ และชีวภาพ วิเคราะห์คุณภาพดิน และการเลือกใช้พืชพื้นท้องถิ่นเข้ามาปลูก รวมถึงประเมินความเสี่ยง เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายของพืชและสัตว์รวมถึงความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ที่ช่วยให้ทีมสำรวจวางแผนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม

ก่อนเดินหน้าสู่ก้าวต่อไปของโครงการ Foster Future Forests ในการเปิดให้พนักงาน ชุมชน และนักวิชาการเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในการประเมินคาร์บอนเครดิตร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

ป่าชายเลนช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนฯ
ปีละ 9.4 ตันต่อไร่

รองศาสตราจารย์ ดร. ธรรมรัตน์ พุทธไทย จากมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ป่าชายเลนมีความสำคัญอย่างมากในเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero เนื่องจากสามารถดูดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงปีละกว่า 9.4 ตันต่อไร่ ดังนั้นเป้าหมายของกิจกรรม คือการฟื้นฟูความหลากหลายของระบบนิเวศป่าชายเลนให้สมบูรณ์ในพื้นที่โครงการฯ แต่การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ใช่เพียงแต่นำเมล็ดพันธุ์ใดมาใช้ก็ได้ หรือซื้อต้นไม้มาเพาะกล้าเป็นป่า เพราะป่าแต่ละชนิดมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน ทำให้มีวิธีฟื้นฟูต่างกันไปด้วย

ดังนั้นจึงได้ออกแบบกิจกรรมโดยเริ่มต้นจากการให้พนักงานของเชฟรอนทำความรู้จักป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำก่อน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ หลังจากนั้นจึงช่วยเก็บเมล็ดพันธุ์พืชดั้งเดิมในป่า และนำเมล็ดพันธุ์พื้นถิ่นที่ได้มาเพาะกล้าไม้ เนื่องจากพืชพื้นถิ่นจะมีพันธุกรรมที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ และมีความสามารถในการปรับตัวและเจริญเติบโตสูง

โดยเน้นเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดี มาจากแม่ไม้ที่สมบูรณ์ มีอัตราการรอดตายสูง มีความต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดีและสามารถดึงดูดสิ่งมีชีวิตเข้ามาในพื้นที่เพื่อกระจายเมล็ดพันธุ์หรือเอื้ออำนวยให้เกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพต่อไป

 

 

 

ความสำคัญของการฟื้นฟูระบบนิเวศ โดยกล้าไม้ 1 ต้นจะเติบโตและดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ยถึง 9-15 กิโลกรัมต่อปี นอกจากเมล็ดพันธุ์ที่เก็บมาได้จากในป่าแล้ว กิจกรรม Together We Volunteer ในยังเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ ให้นำใบไม้หรือดอกไม้ที่เก็บได้จากในป่า มาใช้ทำงานศิลปะที่ออกแบบได้ด้วยตนเอง Eco Printing หรือชุบชีวิตเสื้อเก่าที่แต่ละคนได้นำมาจากบ้าน เพื่อปลูกจิตสำนึกการอนุรักษ์ผ่านการเปลี่ยนผ้าผืนเก่าให้แต่งแต้มลวดลายจากธรรมชาติเสมือนได้ตัวใหม่ โดยนอกจากจะเสริมแนวคิดในการนำของที่ไม่ใช้มาสร้างประโยชน์ใหม่แล้ว ยังถือเป็นการเสริมทักษะอาชีพให้แก่ชุมชนระยองที่เข้าร่วมในกิจกรรมอีกด้วย


ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนหัวใจสำคัญ
สู่ความสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืน

มร.โรเบิร์ต โดบริค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มวางแผนโครงการ เพื่อนำความต้องการของชุมชนไปพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โครงการฯ รับฟังความต้องการของชุมชน

โดยล่าสุดจัดประชุมเชิงปฏิบัติการแถลงความคืบหน้าของโครงการฯ พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพและคาร์บอนเครดิต เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับชุมชน ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง กลุ่มอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำระยองและป่าชายเลน ชุมชนเนินพระ วิสาหกิจท่องเที่ยวตำบลปากน้า ไปจนถึงวิสาหกิจชุมชนประมงเรือเล็กเก้ายอด มุ่งสู่การพัฒนาที่ตอบโจทย์ชุมชนอย่างแท้จริงและเปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้มีส่วนร่วม

 

 

 

เชฟรอนย้ำทุกโครงการเพื่อสังคม
เน้นสร้างประโยชน์ระยะยาว

ด้าน นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่าทุกโครงการเพื่อสังคมจะเน้นการสร้างประโยชน์ในระยะยาวให้ชุมชน และให้ความสำคัญกับการวางแผนโครงการผ่านข้อมูลที่วัดผลได้อยู่เสมอ โดยสำหรับโครงการเติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย เราผสานเครือข่ายด้านวิชาการที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่สมาคมส่งเสริมพัฒนากำลังคนสเตมเพื่ออนาคต (IAFSW) คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ เพื่อวางแผนดำเนินการที่เหมาะสมผ่านการใช้ธรรมชาติเป็นฐาน ศึกษาพื้นที่โดยละเอียด พร้อมผสานเทคโนโลยีมาช่วยวัดผลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้สู่ต้นแบบการบริหารจัดการป่าในเมืองของประเทศไทย

นอกจากนี้ยังวางแผนยกระดับสร้างการรับรู้ในวงกว้างขึ้นผ่านความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และภาควิชาการ เพื่อสื่อสารโครงการผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตาม เหล่ากล้าไม้ที่พนักงาน และชุมชนกว่าหลายร้อยชีวิตเพาะปลูกในวันนี้ ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการอนุรักษ์สู่สองมือที่ได้ร่วมกันสร้างอนาคตของป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำติดตัวสู่ผู้ร่วมกิจกรรมกลับไป โดยแม้ต้นกล้าเหล่านั้นจะยังโผล่ขึ้นไม่พ้นจากผืนดิน แต่ก็ได้สร้างความหวังใหม่ในก้าวต่อไปของโครงการเติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย โดยในอนาคตโครงการฯ มีแผนเปิดพื้นที่ดังกล่าวให้หลายภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อศึกษาและพลิกผืนดินสู่แหล่งเรียนรู้ด้านป่าชายเลนที่สำคัญของจังหวัดระยองในอนาคตต่อไป