“มูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา” ยกระดับการเรียนรู้เยาวชนรุ่นใหม่ ติดปีกเถ้าแก่วัยใส

by ESGuniverse, 27 มิถุนายน 2567

“มูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา” ภายใต้การสนับสนุนของธนาคารกสิกรไทย เดินหน้าโครงการ เพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด ‘อัพเวลสกิลธุรกิจ เสริมทักษะชีวิต ติดปีกผู้ประกอบการ’ ส่งเสริมเยาวชนให้มีทักษะผู้ประกอบการติดตัว ต่อยอดประสบการณ์ชีวิต

 

“มูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา” เป็นองค์กรการกุศลไม่แสวงหาผลกำไร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ 1. ผลิตและต่อยอดโครงการผลิตครูและนักเรียน ที่มีแนวคิดและแนวปฏิบัติตามแบบของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา 2. ต่อยอดความรู้ทักษะนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และ 3. สร้างความยั่งยืนในการดำรงชีวิต และพัฒนาชุมชนในประเทศไทย

ดร.อดิศวร์ หลายชูไทย กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา กล่าวว่า ภารกิจของมูลนิธิฯ คือ มุ่งสร้างโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่เยาวชน เพื่อพัฒนาการศึกษาในประเทศไทย โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เข้าถึงความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ สร้างประประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ ต่อการดำรงชีพของเยาวชน เปิดโอกาสให้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพ ใช้ชีวิตอย่างสมดุล เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ และเป็นผู้นำในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

ทักษะชีวิต ติดปีกผู้ประกอบการ

ปี 2567 นี้ มูลนิธิฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การสนับสนุนของธนาคารกสิกรไทย ได้จัดโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ประจำปี 2567 ต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด ‘อัพเวลสกิลธุรกิจ เสริมทักษะชีวิต ติดปีกผู้ประกอบการ’ สร้างเสริมประสบการณ์การทำธุรกิจ ให้กับเยาวชนระดับมัธยมศึกษา จังหวัดน่าน จำนวน 50 คน จาก 13 โรงเรียน ระยะเวลาโครงการ 79 วัน ผ่านกระบวนการเรียนรู้ในการดำเนินธุรกิจ ที่ออกแบบตามแนวคิดเพาะพันธุ์ปัญญา เป้าหมายเพื่อสร้างองค์ความรู้ และประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ตามกระบวนการโครงงานฐานวิจัย

 

 


“แคมป์เพาะพันธุ์ปัญญา ถือเป็นการเรียนรู้นอกหลักสูตร ที่จัดทำในช่วงปิดเทอม ทักษะและประสบการณ์นอกห้องเรียนที่ได้นี้ จะเสริมประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของเยาวชน พัฒนาทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และความสามารถในการประยุกต์ความรู้ใหม่ ใช้กับสถานการณ์จริงที่ตนเผชิญ”

ดร.อดิศวร์ กล่าวว่า มูลนิธิฯ มุ่งส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ตามหลักผลเกิดจากเหตุ เพื่อให้เยาวชนสามารถคิดวิเคราะห์แนวทางในการแก้ปัญหา ต่อยอดโอกาสในการพัฒนาตนเอง และสร้างโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต อันนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในอนาคต การเข้าร่วมแคมป์จะเน้นการทำธุรกิจเชิงปฏิบัติการ และการเรียนออนไลน์ รวมถึงการเรียนรู้จากวิทยากรมืออาชีพในหลากแขนง

แคมป์กล้าเรียน กล้าลุย กล้าก้าว

บรรดาเยาวชนจะได้เรียนรู้การทำธุรกิจ และลงมือปฏิบัติจริง ผ่านแคมป์ต่าง ๆ ประกอบด้วย

แคมป์เพาะกล้า เพื่อฝึกฝนทักษะเบื้องต้นในการเป็นผู้ประกอบการ เยี่ยมชมสถานประกอบการในจังหวัดน่าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่แคมป์หลักอีก 3 แคมป์ ได้แก่

แคมป์ที่ 1 กล้าเรียน เพื่อปูพื้นฐานในการสร้างสรรค์ไอเดียธุรกิจ ความเป็นไปได้ และเรียนรู้สิ่งที่จำเป็นในการทำธุรกิจ นำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาไอเดียธุรกิจที่มีคุณค่า เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และนำไปทดลองตลาด (Minimum Viable Product: MVP)

แคมป์ที่ 2 กล้าลุย เพื่อบุกตลาด ลงมือขาย พบลูกค้าตัวจริง เรียนรู้จุดเด่น จุดด้อย เพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการ และเดินหน้าจัดจำหน่ายเป็นธุรกิจจริง

แคมป์ที่ 3 กล้าก้าว เพื่อรายงานและนำเสนอผลประกอบการจากการทำธุรกิจจริงในระยะเวลา 2 เดือนต่อคณะกรรมการ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและนักธุรกิจตัวจริง รวมถึงผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของทุนที่ใช้ในการทำธุรกิจ นอกจากนี้ เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการยังได้เปิดโลกทัศน์เรียนรู้ประสบการณ์จากบุคคลต้นแบบที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจและผู้นำความคิดด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับประเทศตลอดช่วงเวลาของการเข้าแคมป์อีกด้วย

 



3 โรงเรียนพัฒนาการโดดเด่น
ทั้งนี้ โรงเรียนที่มีผลการประเมินพัฒนาการโดดเด่น 3 อันดับแรก ได้แก่
1. ทีมโรงเรียนเมืองยมวิทยาคาร และโรงเรียนหนองบัวพิทยาคม
2. ทีมโรงเรียนนาหมื่นพิทยาคม
3. ทีมโรงเรียนแม่จริม

โดยมี ทีมโรงเรียนสาธุกิจประชาสรรค์ รัชมังคลาภิเษก และ ทีมโรงเรียนสารทิศพิทยาคม ได้รับการประเมินว่า เป็นทีมที่สามารถปรับตัว แก้ปัญหา และเดินหน้าโครงการได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเจออุปสรรคอย่างมากก็ตาม

“จุดมุ่งหมายของมูลนิธิฯ ไม่ใช่การสร้างนักธุรกิจที่เก่งที่สุด หรือหาทีมที่ขายสินค้าได้มากที่สุด แต่เป็นการให้โอกาสในการเรียนรู้ ที่จะเป็นผู้ประกอบการครั้งแรกในชีวิตให้กับเยาวชน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปในอนาคต สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล” ดร.อดิศวร์ กล่าว

ทำธุรกิจให้โตไม่ใช่เรื่องง่าย

นางสาวพิมพ์พิศุทธิ์ ปานหยวก (เรโอ) ตัวแทนจากทีมอำเภอท่าวังผา แบรนด์ “สปาไกตี้” (สปาเก็ตตี้เส้นไก และซอสน้ำพริกอ่อง) เล่าให้ฟังว่า การได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ในครั้งนี้ นอกจากได้เรียนรู้กระบวนการทำธุรกิจ ว่ามีขั้นตอนอย่างไรแล้ว ตนยังได้รู้จักวิธีการหากลุ่มลูกค้า ได้ฝึกฝนการนำเสนอไอเดียให้กับคณะกรรมการ (บอร์ด) เหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ที่ทำให้ตนเองและเพื่อนในทีมเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการทำธุรกิจไปเลย จากเดิมที่คิดว่า แค่ซื้อมาขายไป ขอแค่มีกำไรก็พอ ไม่สนว่าจะขายที่ไหน ขายให้ใคร

“พอได้ลงมือปฏิบัติจริงถึงรู้ว่า การทำธุรกิจหนึ่งให้เติบโตได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องจริงจังทุกขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องเงินและการขาย หนูไม่คิดว่าต้องมาทำอะไรแบบนี้ พอได้มาทำมาเข้าแคมป์ถึงได้รู้ว่า กว่าจะมีคนเข้าใจสินค้าของเรา กว่าที่คนจะยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าของเรา ต้องวางแผนให้รัดกุมและใช้เวลา”

 



เติบโตและมีความกล้ามากขึ้น

นายวีรภัทร เขียวสุวรรณ (วี) ตัวแทนจากทีมอำเภอเวียงสา แบรนด์ “ผึ้งปิ๊กน่าน” (ขนมไวท์ช็อคโกแลตสอดไส้น้ำผึ้งเวียงสาแท้ 100% ในรูปแบบกล่องของฝากจากเมืองน่าน) เล่าให้ฟังว่า ตนเองและเพื่อนในทีมจากเดิมเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น พอได้เข้าร่วมโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ได้รู้จักเพื่อนจากโรงเรียนอื่นๆ ได้เจอพี่ๆ จากมูลนิธิฯ และคณะอาจารย์ที่คอยสนับสนุน เราเหมือนเป็นคนใหม่ ทุกคนเติบโตและมีความกล้ามากขึ้น ไม่ว่าจะกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ นอกจากนี้ มุมมองในการทำธุรกิจก็เปลี่ยนไปหลังจากได้ลงมือปฏิบัติจริง ก็เห็นว่ามีหลายขั้นตอนที่ต้องละเอียดอย่างมาก และต้องมีการวางแผนที่ชัดเจนด้วย ไม่อย่างนั้นธุรกิจเราก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้

อยากมีธุรกิจของตัวเอง

นายภูผา ดีอุ่น (ภูผา) ตัวแทนจากทีมอำเภอนาหมื่น แบรนด์ “Sill Feed” (ผลิตภัณฑ์ผงโรยอาหารสุนัขและแมว) เล่าต่อว่า หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ตนเองได้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจเยอะมาก อาทิ การคิดค้นผลิตภัณฑ์ การหาตลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตนคิดว่าจะสามารถนำไปต่อยอด หรือใช้ความรู้เหล่านี้ในอนาคตได้อย่างแน่นอน เผื่อในอนาคตอยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง

ได้เรียนรู้ว่าเงินหายาก

นางสาวณัฏฐธิดา ต๊ะเสน (พลอย) หนึ่งในทีมอำเภอนาหมื่น เสริมว่า ตนเชื่อว่าองค์ความรู้ ประสบการณ์ที่ได้จากโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ในครั้งนี้ จะถูกนำไปปรับใช้ในอนาคตอย่างแน่นอน อย่างน้อยมันจะเป็นพื้นฐานว่า การจะมีธุรกิจเป็นของตนเองได้จะเริ่มต้นอย่างไร ต้องมีอะไร และดำเนินการวางแผนอย่างไร ถึงจะประสบผลสำเร็จ

 



“ค่ายเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ทำให้ทุกคนรู้จักการทำงานเป็นทีม มีความรับผิดชอบ ไม่ทิ้งงาน ไม่ละเลยหน้าที่ของแต่ละคนที่ได้รับมอบหมาย ทุกคนจะรู้ว่าหน้าที่ของตนเองคืออะไร และทำมันให้เต็มที่ ถ้าเราอยู่ในวัยที่สูงขึ้น หรือว่าอยู่ในวัยทำงาน สิ่งเหล่านี้ที่ได้เรียนรู้มาจะทำให้ทุกคนสามารถปรับตัวได้ง่าย เพื่อทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่สำคัญเราทุกคนรู้คุณค่าของเงิน ได้เรียนรู้ว่าเงินนั้นหายาก”

หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลง

นางสาวงามเนตรรวี แสงคำ (ยู) ตัวแทนจากทีมอำเภอแม่จริม แบรนด์ “InsTAN” (ผลิตภัณฑ์ข้าวแต๋นไบท์) เล่าปิดท้ายถึงประสบการณ์ และความประทับใจ ต่อการเข้าร่วมโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ว่า ตลอด 79 วันที่ผ่านมา พวกเราทุกคนเติบโตขึ้นเยอะมาก มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการรู้คุณค่าของเงิน ได้เรียนรู้ว่าเงินนั้นหามายาก นอกจากนี้ สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกจากการทำธุรกิจอีกอย่าง คือ ได้ลองนำเสนองานให้กับฝ่ายบริหาร ขายงานต่อหน้าผู้ถือหุ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งใหม่ที่ทุกคนไม่เคยได้ทำในห้องเรียน