ถ้าประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ มีทามแมชชีน เขาคงอยากย้อนเวลากลับไปในวันที่ 4 มีนาคม 2017 วันที่เขาทวีทว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ดักฟังโทรศัพท์ของเขาที่อาคารทรัมป์ทาวเวอร์ และประนามโอบาม่าว่าทำตัวเลวร้ายเหมือนนิกสันในคดีวอเตอร์เกท และผรุสวาทส่งท้ายว่า “นี่มันเลว (หรือบ้า) กัน(วะ)”9
ทวีทด้วยเนื้อหาที่น่าตกใจจาก “โดนัลทรัมป์ตัวจริง” (@realDonaldTrump) เพื่อเล่นงานคนที่เขาไม่พอใจเกิดขึ้นแทบจะรายวัน เป็นการตอบโต้คนหรือแม้แต่ประเทศที่เขาไม่พอใจ เช่นเมอรีล สตรีบ ดาวค้างฟ้าของฮอลลีวู๊ด ถูกเขาทวีทว่า “เป็นนักแสดงหญิงที่ผู้คนให้ค่าเกินจริงอย่างมาก”7 เมื่อ สตรีบขึ้นรับรางวัลโกลเด้นโกลบอะหวอด แล้ววิจารณ์ทรัมป์โดยไม่เอ่ยชื่อว่า เป็นผู้อยู่ในอำนาจที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า เมื่อทรัมป์ทำท่าล้อเลียนนักข่าวพิการที่เขาไม่ชอบการนำเสนอข่าว
วิธีการหันเหความสนใจของกองทัพสื่อมวลชนด้วยทวีทของทรัมป์ ได้ผลมาตลอด เมื่อเขาไม่พอใจข่าวไหน เขาจะทวีทว่า ข่าวปลอม “fake news” ทรัมป์ตั้งตัวเป็นศัตรูกับกองทัพสื่อมวลชนตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้ง และถึงแม้เข้ารับตำแหน่งแล้ว เขาก็ประกาศอย่างเปิดเผยในหลายเวทีรวมทั้งในทวีทคู่ใจว่า “สื่อข่าวปลอมไม่ใช่ศัตรูของผม มันคือศัตรูของประชาชนอเมริกา”19 ในรายชื่อสื่อข่าวปลอมของทรัมป์มีสำนักข่าวที่ได้รับความเชื่อถือทั่วโลกเช่น New York Times, NBC, ABC, CBS และ CNN ถูกระบุชื่อด้วย
รังนกกระจอกของทำเนียบขาวต้องแตกฮือเพียงเดือนเดียวหลังทรัมป์เริ่มกุมบังเหียนประเทศ เมื่อโฆษกรัฐบาล นายชอน สไปเซอร์สนองนโยบายต่อต้านศัตรูของชาติด้วยการห้ามสื่ออย่างเช่น CNN, the New York Times, Politico และ the Los Angeles Times เข้าฟังบริฟข่าวซิฟ (exclusive) แบบปิดกล้อง4
ทรัมป์ไม่พอใจสื่อมวลชนหลายเรื่อง แต่เรื่องที่น่าจะทำให้ทรัมป์สติแตกมากที่สุดคือการขุดคุ้ยของสื่อเพื่อตอบคำถามว่า รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งที่ทรัมป์ชนะหรือไม่ และคนของทรัมป์มีส่วนรู้เห็นหรือช่วยเหลือในการแทรกแซงของรัสเซียหรือไม่
การแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐโดยรัสเซียเป็นเรื่องที่หน่วยข่าวกรองของอเมริกาเกาะติดมาตลอดในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และเมื่อผลการเลือกตั้งพลิกล็อกจนแม้แต่ทรัมป์เองก็ยังตะลึงกับชัยชนะของตัวเอง ความหวั่นวิตกว่าทรัมป์อาจเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับรัสเซีย ทำให้วุฒิสมาชิกพรรคแดโมแครทจำนวนมากขอร้องให้โอบาม่ารีบ “ยกเลิกสถานะความลับ” (declassify) ของเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการแทรกแซงการเลือกตั้งของรัสเซีย32 มีการเปิดเผยในภายหลังว่า ทีมหน่วยข่าวกรองได้รีบยกเลิกความลับของเอกสารจำนวนมากก่อนถ่ายโอนอำนาจให้ทีมทรัมป์
คำสั่งทิ้งทวนของโอบาม่าก่อนอำลาเก้าอี้ประธานาธิบดี ตอนปลายเดือนธันวาคม 2016 คือคำสั่งลงโทษรัสเซียที่แทรกแซงการเลือกตั้งอเมริกา ด้วยการขับไล่คณะทูตรัสเซีย 35 คนออกนอกประเทศ36 ทำเนียบขาวแถลงว่า
“กิจกรรมไซเบอร์ของรัสเซียจงใจแทรกแซงการเลือกตั้ง ทำลายศรัทธาต่อสถาบันประชาธิปไตยของอเมริกา สร้างความสงสัยในศักดิ์ศรีของกระบวนการเลือกตั้งและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในสถาบันของรัฐบาลสหรัฐ การกระทำเหล่านี้ไม่อาจยอมรับได้และเราจะไม่อดทน”
แล้วความหวั่นวิตกของพรรคแดโมแครทก็เป็นจริง ไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ผ่อนปรนการลงโทษรัสเซีย ด้วยการอนุญาตให้บริษัทอเมริกาขายอุปกรณ์ไอทีให้หน่วยข่าวกรองรัสเซีย FSB ซึ่งหน่วยข่าวกรองสหรัฐระบุว่าเป็นหน่วยแฮคข้อมูลการเลือกตั้ง5 คอการเมืองพากันตั้งข้อสังเกตว่า นื่คือการหยิบยื่นอาวุธไอทีให้รัสเซียถล่มอาณาจักรไซเบอร์ของอเมริกาต่อไป หรือไม่
ไม่น่าแปลกใจที่กองทัพสื่อมวลชนจะยิงคำถามเรื่องรัสเซีย และซอกแซกเรื่องความเกี่ยวข้องของทีมทรัมป์ ทรัมป์ใช้กลยุทธ์สองอย่างในการจัดการสื่อ คือหนึ่งด่ากราดและโยนความผิดกลับไป สองหันเหประเด็นเพื่อกลบข่าวที่ไม่พึงประสงค์ ทรัมป์ใช้ทวีทเป็นอาวุธยิงรัวใส่ศัตรูของเขาไม่เว้นแต่ละวัน
ทรัมป์ทำตัวเสมือนเกราะกำบังให้รัสเซียหลายต่อหลายครั้ง ครั้งหนึ่ง เมื่อถูกถามว่าเขาคิดยังไงที่ปูตินถูกกล่าวหาว่าสั่งฆ่านักข่าวและคนที่ไม่เห็นด้วย ทรัมป์ตอบว่าเขาเคารพปูติน และเมื่อถูกย้ำถามว่า “แต่ปูตินเป็นนักฆ่านะ” ทรัมป์ตอบว่า “เราก็มีนักฆ่าหลายคนเหมือนกัน คุณคิดว่าประเทศของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องนักหรือ?”1
ภายใต้การบริหารของโอบาม่า อเมริกาตระหนักรู้และพยายามรับมือกับสงครามไซเบอร์จากรัสเซีย แต่ก็ยังไม่อาจป้องกันการแทรกแซงการเลือกตั้งที่นำทรัมป์เข้าสู่เส้นชัยได้ เมื่อโอบาม่าจำเป็นต้องส่งไม้ต่อให้ทรัมป์บริหารประเทศ ทรัมป์ยังจะปกป้องอาณาจักรไซเบอร์ของอเมริกาต่อไปหรือไม่?
คำตอบจากทรัมป์ที่ให้กับ New York Times คือ การสอบสวนเรื่องรัสเซียแฮคการเลือกตั้ง คือการ “ล่าแม่มด” (witch hunt) เป็นการเมืองแบบล้าหลัง ไม่ใช่ประเด็นเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ6
เมื่อทรัมป์ได้รับบริฟจากหน่วยงานข่าวกรองที่สรุปว่าปูตินสั่งให้ “ป่วนการหาเสียง” (influence campaign) เพื่อทำลายฮิลลารี คลินตัน และเป็นผลดีต่อทรัมป์ ทรัมป์ตอบโต้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มันไม่มีผลต่อการเลือกตั้งเลย6
ทรัมป์พยายามปกป้องชัยชนะของตัวเอง แต่ในการทำเช่นนั้น เขาก็ได้ปกป้องรัสเซียไปด้วย ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ยังมีศึกในอีกหลายยก ที่ทีมทรัมป์อยู่มุมหนึ่ง และคณะกรรมการสอบสวนหลากหลายคณะพร้อมกองทัพสื่อจอมขุดคุ้ยอยู่อีกมุมหนึ่ง ระฆังยกแรกดังขึ้น หลังทรัมป์ขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีได้ไม่ทันเบาะนั่งอุ่น
สามคณะหลักที่จะทำหน้าที่สอบสวนการแทรกแซงการเลือกตั้งจากรัสเซียคือ 1) คณะของสภาผู้แทน 2) คณะของวุฒิสภา และ 3) คณะสอบสวนเรื่องการโจมตีทางไซเบอร์ของวุฒิสภา ประเด็นหลักข้อหนึ่งในการสอบสวนคือคนรอบตัวทรัมป์เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงของรัสเซียอย่างไร หรือไม่
การสอบสวนนี้ทำให้ทีมทรัมป์ค่อยๆร่วงจากตำแหน่งไปทีละคน เริ่มจากอดีตผู้จัดการการหาเสียง นายพอล แมนาฟอร์ด ซึ่งถูกแฉว่ามีสายใยเหนียวแน่นกับกลุ่มผลประโยชน์รัสเซีย ตามมาด้วยนายพลไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 23 วัน เพราะเขาบิดเบือนเรื่องการติดต่อพูดคุยกับทูตรัสเซีย คนต่อมาคือ อัยการสูงสุด นายเจฟ เซสชั่นส์ ประกาศถอนตัวจากการสอบสวนเรื่องรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง เพราะเขาเองก็ให้การเท็จเรื่องที่ตนเองเคยพบกับทูตรัสเซีย ยังมีทีมทรัมป์อีกหลายคนที่พัวพันกับรัสเซีย และอาจถูกเรียกตัวสอบสวนต่อไป ที่สำคัญคือลูกเขยทรัมป์ จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกชายทรัมป์ หรือดอน จูเนียร์ และ รัฐมนตรีต่างประเทศนาย เรกซ์ ทิลเลอร์สัน21
ทรัมป์เองตอนทำธุรกิจก็มีผลประโยชน์ในรัสเซีย ที่ชัดเจนคือเขาเป็นเจ้าภาพจัดงานมิสยูนิเวิสที่มอสโคว์ ซึ่งทำเงินมหาศาล และเขาเคยหาลู่ทางทำดีลด้านอสังหาริมทรัพย์กับรัสเซีย และคุยว่าเคยติดต่อกับปูตินเองก่อนลงเลือกตั้ง21 คำถามคือในช่วงเลือกตั้งและหลังเข้ารับตำแหน่งแล้ว เขายังมีผลประโยชน์ใดๆในรัสเซียที่อาจทำให้การตัดสินใจในฐานะผู้นำประเทศเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ การจะหาคำตอบข้อนี้ หลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งคือ หลักฐานการเสียภาษี ซึ่งทรัมป์ถูกสื่อมวลชนตามจิกมาตลอด และเขาก็บ่ายเบี่ยงมาตลอดเช่นกัน
วอชิงตันโพส ทำผังวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทีมทรัมป์และทีมปูตินผ่านเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำวอชิงตัน นายเซอเกย์ คิสลีแอก21
ข่าวเหล่านี้ยิ่งทำให้ทีมทรัมป์ดูเหมือนจำเลยสังคมมากขึ้นไปอีก ทรัมป์หัวเสียมากที่เซสชั่นส์ถอนตัว และสองวันต่อมาเขาก็ทวีทเรื่องโอบาม่าดักฟัง คอการเมืองหลายสำนักมองว่านี่เป็นการทวีทกลบข่าวการที่คนรอบตัวเขาถูกแฉว่าพัวพันกับรัสเซีย
ทรัมป์อาจจะทวีทด่าดาราฮอลลีวู๊ด ทวีทด่าสื่อมวลชนได้อย่างไม่เปลืองตัว ในวันรุ่งขึ้น กองทัพสื่อก็จะหันไปจับเรื่องใหม่ๆที่เขาทวีทออกมา แต่ไม่ใช่เรื่อง “ดักฟัง” นี้ ซึ่งเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่ทรัมป์ไปถอดสลักเข้าอย่างไม่รู้ตัว เพราะทวีทนี้คือการกล่าวหาอดีตประธานาธิบดีสหรัฐว่าทำผิดทางอาญาในการสั่งให้มีการละเมิดสิทธิพลเมืองอเมริกา
นับตั้งแต่คดีวอเตอร์เกทของประธานาธิบดีนิกสันในปี 1972-1974 ที่นิกสันใข้หน่วยข่าวกรองในการสืบหาข้อมูลของศัตรูทางการเมือง28 ก็มีการเปลี่ยนกฎหมายไม่ให้ประธานาธิบดีสหรัฐมีสิทธิสั่งสอดแนมพลเมืองอเมริกาได้ด้วยตัวเองอีกต่อไป ถ้าจะสอดแนมใครต้องไปขอคำสั่งศาล ส่วนการสืบข้อมูลของคนต่างชาติเพื่อเหตุผลเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ ก็ต้องไปขออนุญาตศาลที่ดูแลเรื่องข่าวกรองของต่างชาติ (US Foreign Intelligence Surveillance Court)
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าทรัมป์จะพยายามทวีทกลบประเด็น “ดักฟัง” อย่างไรก็ไม่ประสบผล ไม่ว่าทรัมป์จะโผล่ไปที่ไหน ก็จะถูกกองทัพนักข่าวยิงคำถามว่า มีหลักฐานเรื่องดักฟังหรือยัง บรรดาคนของทรัมป์รวมทั้งโฆษกรัฐบาลนายชอน สไปเซอร์ก็ต้องออกมาแก้ตัวรายวันให้ทรัมป์ บอกให้สื่อรอหลักฐานเด็ดไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งวันคำอ้างว่ามีหลักฐานก็มีน้ำหนักน้อยลงไปทุกที
ทวีท “ดักฟัง” ของทรัมป์นำไปสู่การสอบสวนที่ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ในวันที่ 20 มีค ในการไต่สวนของคณะกรรมการข่าวกรองสภาผู้แทนฯ หัวหน้าข่าวกรอง FBI และ NSA ปฏิเสธข้อมูลทวีทของทรัมป์ ที่กล่าวหาว่าประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าสั่งให้หน่วยข่าวกรองสหรัฐดักฟังโทรศัพท์ทรัมป์ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ปี 201630 คำให้การนี้เป็นการตอกย้ำว่าทรัมป์ “ซี้ซั้ว” ในการกล่าวหาโอบาม่า
หลังจากนั้นเพียงสองวัน ก็เกิดปาหี่ครั้งใหญ่ที่ติด Box Office และคงจะไม่ออกจากกระแสข่าวของอเมริกาได้ง่ายๆ ดาราแสดงนำในเรื่องนี้คือ นายเดวิน นูเนส ประธานคณะกรรมสอบสวนของสภาผู้แทนฯ พรรครีพับลิกัน ที่ออกมาแถลงข่าวว่า แม้จะไม่พบว่ามีหลักฐานการดักฟังโทรศัพท์ทรัมป์ แต่ข้อมูลที่เขาได้รับจากแหล่งข่าวในทำเนียบขาวแสดงว่า มีการตรวจพบการสนทนาโดยไม่ตั้งใจในการสืบหาข่าวกรองตามคำสั่งที่ถูกต้องของศาลสืบสวนข่าวกรองชาวต่างชาติ พูดง่ายๆก็คือ คนของทรัมป์ได้คุยกับคนต่างชาติซึ่งถูกหน่วยข่าวกรองสหรัฐเฝ้าติดตาม ก็เลยดักฟังการคุยกันได้ แม้ว่าคนของทรัมป์จะไม่ใช่เป้าหมายการดักฟังก็ตาม พอนูเนสแถลงข่าวเสร็จก็ตรงไปบริฟทีมทรัมป์ต่อที่ทำเนียบขาว โดยไม่ได้คุยกับนายอดัม ชิฟฟ์ ผู้นำทีมแดโมแครทที่เป็นกรรมการร่วม30
ในวันเดียวกัน ทรัมป์บอกนักข่าวว่า ข้อมูลที่ได้จากนูเนสช่วยพิสูจน์คำพูดของเขาพอประมาณ (somewhat) ว่า โอบาม่าดักฟังโทรศัพท์เขาจริงที่ทรัมป์ทาวเวอร์30
นายอดัม ชีฟฟ์ จากพรรคแดโมแครท ที่เป็นผู้นำร่วมในคณะสอบสวนฯ ได้แจ้งเกิดบนเวทีการเมืองทันทีเมื่อเขาออกมาประท้วงและประณามการกระทำของนูเนสว่าผิดกติกาหลายกระทง ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาไม่แจ้งกรรมการด้วยกันก่อนว่าได้ข้อมูลมา ไม่แสดงข้อมูลที่เขาได้เห็นให้กรรมการในคณะได้รับทราบพร้อมกัน ไม่ยอมเปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูล และที่สำคัญที่สุดคือ มันไม่ใช่ธุระกงการของนูเนสที่จะไปบริฟทีมทรัมป์ เพราะทีมทรัมป์คือกลุ่มคนที่ถูกสอบสวนว่ามีโยงใยกับรัสเซียหรือไม่ สื่อหลายสำนักตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ ทรัมป์เองอยู่เบื้องหลังปาหี่ครั้งนี้ เพื่อบิวท์หลักฐานว่าโอบาม่าสั่งดักฟังเขาจริง ส่วนนูเนสเองก็ถูกเรียกร้องให้ถอนตัวจากการเป็นหัวหน้าทีมสอบสวนจากทุกสารทิศ
ทวีท “ดักฟัง” ที่อยู่ในกระแสความสนใจของอเมริกันชนย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของทรัมป์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คะแนนนิยมในตัวทรัมป์ร่วงลงอย่างแรงและเร็วเหลือ 35% (gallop poll) ในปลายเดือนมีนาคม ชาวอเมริกาส่วนใหญ่ต้องการให้มีการสอบสวนเรื่องความเกี่ยวโยงของทีมทรัมป์กับรัสเซียต่อไป ในการทำโพลของ CBS เมื่อปลายเดือนมีนาคมพบว่า 63% ของคนตอบต้องการให้ FBI สอบสวนความเชื่อมโยงระหว่างทีมหาเสียงของทรัมป์กับรัฐบาลรัสเซีย และ 59% เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ทีมหาเสียงของทรัมป์จะมีการติดต่อกับสายลับรัสเซียอย่างไม่เหมาะสม17
ในขณะที่ทรัมป์และทีมกำลังแลกหมัดกับกองทัพสื่อมวลชนและคณะสอบสวนเรื่องรัสเซียจนฝุ่นตลบ คนดูข้างเวทีที่น่าจะกำลังจิบว๊อดก้าและตักไข่ปลาคาเวียร์เข้าปากอย่างชื่นบาน คือ วลาดิเมียร์ ปูติน
ปูตินขึ้นสู่อำนาจในวันสุดท้ายที่โลกอยู่ในศตวรรษเดิม คือวันที่ 31 ธันวาคม 1999 ปูตินไม่พอใจสหรัฐมายาวนาน และในปี 2011 ก็กล่าวโทษว่าสหรัฐปลุกระดมมวลชนในประเทศให้ต่อต้านรัฐบาลของเขา มีรายงานข่าวว่าเขาแค้นฝังหุ่นกับรัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้นคือนางฮิลลารี คลินตันว่าทำให้สหรัฐหมางใจกับรัสเซีย8 เมื่อพรรคแดโมแครทส่งฮิลลารีเข้าชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี ก็น่าจะพอเดากันได้ว่าปูตินจะใช้อาวุธไซเบอร์ในมือทำลายใครในการหาเสียง
หน่วยข่าวกรองของสหรัฐให้ข้อมูลว่า ในช่วงรณรงค์หาเสียง แฮคเกอร์ได้ขโมยอีเมล์จากกรรมการพรรคแดโมแครท และของประธานการหาเสียง ชื่อนายจอห์น โพเดสต้า และต่อมาข้อมูลเหล่านี้ก็ถูกตีแผ่ในวิกิลีคส์8
อีเมล์ของกรรมการพรรคแดโมแครทเปิดเผยว่าพวกผู้นำพรรคชอบฮิลลารีมากกว่าเบินนี่ย์ แซนเดอร์ คู่แข่งแนวคิดสังคมนิยมที่ป๊อปปูล่าในหมู่ฐานเสียงคนรุ่นใหม่ ข้อมูลรั่วครั้งนั้นทำให้ประธานกรรมการพรรคต้องลาออก และทำให้ผู้สนับสนุนแซนเดอร์เชื่อว่ามีการโกงการแข่งขันเพื่อให้ฮิลลารีชนะแซนเดอร์ ต่อมาเมื่อฮิลลารีชนะแซนเดอร์จริงๆ ฐานเสียงของแซนเดอร์จำนวนมากจึงไม่เทเสียงให้ฮิลลารี อย่างธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยเป็นมาของการแข่งขันกันเองภายในพรรค
เมื่อข่าวฉาวชิ้นแรกของฮิลลารีได้รับความเชื่อถือขนาดโค่นประธานพรรคแดโมแครทได้ ข่าวฉาวที่ติดตามมาก็ถูกเชื่ออย่างง่ายดายและไร้การตรวจสอบ
ข่าวลวงชิ้นใหญ่ที่ถูกปล่อยออกมาคือคดีที่เรียกว่า พิชซ่าเกท เมื่อเกิดข่าวลือในโซเชียลว่าอีเมล์ของโพเดสต้าเป็นโค๊ดลับของพวกจิตเพศค้ามนุษย์ มีการบังคับเด็กเป็นโสเภณีและทำกันเป็นกระบวนการ ตามสาขาพิชซ่าเกท โค๊ดลับในอีเมล์ก็เช่น ถ้าใครต้องการซื้อพิชซ่าหน้าชีส หมายความว่าขอซื้อรูปอนาจารของเด็ก แม้มันจะฟังดูเว่อร์และมโนสุดฤทธิ์ ข่าวนี้ก็แพร่ไปอย่างไฟลามทุ่ง โหมกระหน่ำด้วยโซเชียลเน็ทเวิร์คที่ครอบคลุมทุกตารางนิ้วของอาณาจักรไซเบอร์อเมริกา เจ้าของและคนงานร้านพิชซ่าถูกด่าทอทำร้าย รถบรรทุกพิชซ่าถูกขว้างปา ถูกขีดเขียนคำหยาบ และไม่กี่วันหลังจากภาวะข่าวลวงสุกงอม ก็มีหนุ่มอายุ 28 ปีควงปืนบุกร้านพิชซ่า มีการยิงปืนหลายนัด โชคดีไม่มีคนตาย และเขายอมมอบตัวเมื่อพบว่าไม่มีเด็กถูกขายเป็นโสเภณีในร้านพิชซ่า37
หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐก็เปิดเผยว่า รัสเซียตั้งใจทำลายทั้งชื่อเสียงของฮิลลารีและความไว้วางใจของชาวอเมริกาที่มีต่อกระบวนการเลือกตั้ง8
ในสงครามไซเบอร์ยกแรกระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย ปูตินเป็นฝ่ายชนะ ฮิลลารีถูกชกตกเวทีไป เหลือทรัมป์เป็นคู่ชกในยกที่สอง แต่ปรากฏว่าคู่ชกของทรัมป์กลับไม่ใช่ปูติน แต่คือกองทัพสื่อมวลชนและคณะกรรมการสอบสวนการแฮคเลือกตั้งของรัสเซีย อย่างนี้แล้วจะไม่ให้ปูตินสนุกกับการดูมวยที่กำลังนัวเนียในอเมริกาได้อย่างไร
ปูตินกำลังทำสงครามไซเบอร์กับอเมริกาโดยไม่ต้องใช้ไพร่พลแม้แต่คนเดียว ทหารราบในแนวหน้าของปูตินบนแผ่นดินอเมริกาคือชาวอเมริกาที่หลงเชื่อข่าวลวง ทีมปูตินเล็งเห็นแล้วว่าอเมริกาอยู่ในภาวะสุกงอมในการปล่อยระเบิดไซเบอร์ไปทำลายล้าง บ๊อบ เซสการ์2 ชี้ว่าภาวะดังกล่าวคือ
- ความไม่ไว้ใจสถาบัน และสื่อมวลชน
- การใช้โซเชียลมีเดียทุกหัวระแหง
- ความเต็มใจที่จะแชร์ข่าวลือ ข่าวโคมลอย ข่าวฉาวโฉ่ หรือ “ข่าวปลอม” (fake news) เพื่อทำให้ตัวตนหรือแบรนด์ส่วนตัวในโซเชียลมีเดียดังติดตลาด
- การแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างชัดเจน พร้อมกับการเกิดขึ้นของ ฟองสบู่ข้อมูล (information bubble) คือการเลือกเสพข่าวสารเฉพาะที่ถูกจริตของตัวเอง
- ความเชื่อผิดๆหลังคดี Watergate ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีก็ได้ ทำให้ดาราเกมโชว์อย่างทรัมป์มีโอกาส
ด้วยความสนับสนุนทางข้อมูลจาก Wikileaks และน่าจะคนวงในของทรัมป์ด้วย ปูตินจึงสามารถอัดข้อมูลเท็จปริมาณมหาศาลเข้าสู่อาณาจักรไซเบอร์ของอเมริกาได้2
เซสก้าบอกว่า “น่าเศร้า ที่อเมริกาไม่ใช่สังคมที่ตัดสินใจด้วยข้อมูลและคุณธรรมอีกต่อไป เราเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่เราต้องการจะเชื่อ โดยไม่ขึ้นอยู่กับหลักฐานข้อเท็จจริง ที่ผ่านการกลั่นกรอง แต่กลับตัดสินใจขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ และดูว่าข้อมูลนั้นเป็นที่ยอมรับของกลุ่มที่เราสังกัดอยู่ด้วยหรือไม่ และเราต่างก็เชื่อว่าเราคือผู้รู้ในทุกสิ่งอย่าง การปล่อยข่าวลวงว่า จอห์น โพเดสต้า ค้าผู้หญิงจากร้านพิชซ่าในวอชิงตัน จึงได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นด้วยสกุลเงินแห่งยุคสมัยคือ follows, likes, แชร์ และ ทวีทต่อ”2
ถ้าถามว่าปูตินหยุดสงครามนี้หรือยัง เมื่อเขาเอาคืนฮิลลารีได้สำเร็จแล้ว คำตอบที่น่าขนลุกคือ สงครามไซเบอร์ยังไม่จบลงสำหรับอเมริกา และพลพรรคคนสำคัญที่จะทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวลวงให้รัสเซียต่อไป ก็คือหนึ่งเดียวคนนั้น นายโดนัล ทรัมป์
นี่เป็นข้อกล่าวหาที่หนักหน่วง ยิ่งกว่าทวีท “ดักฟัง” ใครกันที่กล้าฟันธงถึงขนาดนี้
เขาคนนั้นชื่อนายคลินท์ วัทส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามไซเบอร์ และเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียผ่านโซเชียลมีเดีย วัทส์ให้การกับคณะสอบสวนของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 30 มีค. ว่า ความพยายามโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียมีมากกว่าการแทรกแซงการเลือกตั้งระหว่างฮิลลารี่กับทรัมป์ รัสเซียยังมีเป้าหมายที่ผู้ลงสมัครเลือกตั้งอีกหลายคน เช่นวุฒิสมาชิก มาร์โค รูบิโอ พรรครีพับริกันซึ่งอยู่ในคณะกรรมการข่าวกรอง และประธานสภาคือนายพอล ไรอัน23
วัทส์บอกว่า ตอนเฟ้นหาตัวผู้สมัครเลือกตั้งรอบแรกๆ ทีมรัสเซียทำงานหนักมาก และช่วยทำลายผู้สมัครที่มีแนวคิดหรือประวัติที่เป็นศัตรูกับรัสเซีย หรือผลประโยชน์ของรัสเซีย23
วัทส์อธิบายว่า รัสเซียใช้บอท (bot) ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ซอฟแวร์ ปล่อยข่าวลวงมาที่ทรัมป์เพื่อให้ทรัมป์ช่วยปล่อยข่าวลวงต่อไป บอทรู้พฤติกรรมของทรัมป์ว่าจะเล่นโซเชียลมีเดียตอนไหน และจะใช้ช่วงเวลานั้นปล่อยข่าวลวงเพื่อให้ทรัมป์ข่วยปล่อยต่อ
“ผมบอกได้เลยว่ามีแหล่งข่าวสีเทาซุกซ่อนอยู่ตรงไหน ที่เป็นแหล่งปล่อยข่าวลวงของรัสเซีย ซึ่งจะทวีทไปหาประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงเวลาที่ทีมรัสเซียรู้ว่าทรัมป์จะออนไลน์ แล้วพวกเขาก็จะปล่อยข้อมูลประเภททฤษฎีการสมรู้ร่วมคิดของผู้อยู่ในอำนาจ (conspiracy theories) ซึ่งแค่ทรัมป์คลิกข่าวลวงหรืออ้างอิงข่าวนั้น ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าปูตินมาถูกทาง ว่าเขาสามารถใช้สงครามไซเบอร์ทำลายอเมริกาได้”23
จนกว่าผลการสอบสวนจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าทีมทรัมป์มีความพัวพันกับทีมปูตินอย่างไร หรือไม่ ผู้ชมทั้งหลายอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าใครผิดใครถูก ใครจะอยู่ใครจะไป ผู้เขียนบอกได้แต่เพียงว่า คงจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียวที่จะคุ้มครองทรัมป์ให้รอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้ คือ การทำหน้าที่ประธานาธิบดีอเมริกาอย่างแท้จริง นั่นคือการปกป้องผลประโยชน์ของชาติก่อนผลประโยชน์ของตัวเอง
โดย สุนีย์ สถาพร
xxxxxxxxx
Bibliography
- Abby Phillip, “O’Reilly said Putin is a killer. Trump’s reply: ‘You think our country is so innocent?’, The Washington Post, 4 Feb 2017
- Bob Cesca, “Russia’s cyberwar against America isn’t over — and the real target is democracy” 28 Mar 2017 07:58
- Callum Borchers, “Here’s why Trump’s attacks on ‘fake news’ succeed”, The Washington Post, 17 February 2017
- Callum Borchers, “White House blocks CNN, New York Times from press briefing hours after Trump slams media”, The Washington Post, 24 February 2017
- Cameron Joseph, “Trump administration tweaks sanctions against Russia”, New York Daily News, 2 Feb 2017
- David Nakamura, “Trump calls hacking probe ‘witch hunt,’ then calls intelligence briefing ‘constructive’”, The Washington Post, 6 Jan 2017
- “Donald Trump calls Meryl Streep ‘over-rated’ after Golden Globes speech”, BBC, 9 Jan 2017
- Gregory Krieg, “The only 4 things you need to know about Trump and Russia”, CNN, 1 April 2017
- Jana Heigl, “A timeline of Donald Trump’s false wiretapping charge”, Politifact, 21 March 2017
- Jena McGregor, “The problem with Donald Trump’s blame game”, The Washington Post, February 21
- Jennifer Rubin, “Five reasons the McCain cyber warfare hearing should worry Trump”, The Washington Post, 5 January 2017
- Jonathan Landay and David Rohde, “Exclusive: In call with Putin, Trump denounced Obama-era nuclear arms treaty – sources”, Reuters, 9 Feb 2017
- Kailani Koenig, “McConnell Says He’s Seen ‘No’ Evidence of Trump Surveillance”, NBC News
- Karoun Demirjian, “Congressional investigations into alleged Russian hacking begin without end in sight”, The Washington Post, 25 January 2017
- Major Garrett, “Trump blames media, intelligence community for Flynn firing, brushes off Russia concerns”, CBS News, February 16
- Matt Ford, ‘I Have Recused Myself From Matters With the Trump Campaign’, The Atlantic, 2 Mar 2017
- Matthew Rozsa, “More than half of Americans want Trump’s connection to Russia to be investigated: Poll, Salon, 4 April 2017”, CNN, 3 Jan 2017
- “Meryl Streep has hit on star-struck Trump’s big weakness”, The Guardian, 9 Jan 2017
- Michael M. Grynbaumfeb, “Trump Calls the News Media the ‘Enemy of the American People’, The New York Times, 17 Feb 2017
- Nicholas Grossman, “Help! I’m Trapped in an Information Bubble!”, bullshit.ist, 24 Oct 2016
- Philip Bump, “The web of relationships between Team Trump and Russia”, The Washington Post, 3 March 2017
- Stephen Collinson, “There’s a Russian storm over Trump’s struggling presidency”, CNN, 28 March 2017
- Tal Kopan, “Russia investigation: Who is Clint Watts”, CNN, 30 March 2017
- The White House, Office of the Press Secretary, “Readout of the Presidents Call with Russian President Vladimir Putin”, 28 Jan 2017
- Tom LoBianco and Sara Murray, Kushner offers to meet with Senate Intel Committee over Russia meetings, CNN, 27 March 2017
- Tom LoBianco, “Senate Russia hearing: Rubio divulges hack attempts”, CNN, 31 March 2017
- Tom LoBianco, “Senate Russia investigators’ message: We’re the adults here”, CNN, 30 March 2017
- Watergate Scandal, Wikipedia
- Zachary Cohen, “Who’s who in Trump-Russia saga”, CNN, 29 March 2017
- Zack Beauchamp, “The Devin Nunes/Trump/wiretapping controversy, explained”, www.vox.com, 23 Mar 2017
- “Putin applauds Trump win and hails new era of positive ties with US”, The Guardian, 9 Nov 2016
- “Senators call for declassification of files on Russia’s role in US election”, The Guardian, 1 Dec 2016
- “Trump wiretapping claim: Did Obama bug his successor?” BBC News, 20 March 2017
- “Trump’s cabinet: The people around the president”, BBC News, 29 March 2017
- “US ambassador: No question Russia meddled in election”, Associated Press, 2 April 2017
- “Obama expels 35 Russian diplomats in retaliation for US election hacking”, The Guardian, 30 Dec 2017
- “Pizzagate Conspiracy Theory”, Wikipedia