แจ่มจรัส ในเครือ วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) เผย 10 กลยุทธ์ เจาะตลาดภูธรปี 2568 พลิกวิกฤตเป็นโอกาส จากเศรษฐกิจฟื้นตัวเปราะบาง และผลกระทบน้ำท่วมใหญ่ เข้าถึงความต้องการเชิงลึกของผู้บริโภค เพื่อให้ธุรกิจเติบโตยั่งยืน
โค้งสุดท้ายปี 2567 นอกจากผู้ประกอบการ แบรนด์และนักการตลาดจะประเมินสถานการณ์ในรอบปีที่กำลังจะผ่านพ้นแล้ว ยังถึงเวลาที่ต้องมองไปข้างหน้าในการคว้าโอกาสตลาดในปี 2568
โดยเฉพาะตลาดภูธร ที่กำลังเป็นที่จับตามอง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวเปราะบาง และจากน้ำท่วมใหญ่ที่เพิ่งผ่านพ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้คนในตลาดอันกว้างใหญ่นี้
ดังนั้นในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการรวมถึงนักการตลาด ต้องวางแผนกลยุทธ์ที่รอบคอบ โดยเฉพาะการเข้าใจบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ จะช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญความไม่แน่นอนสูง ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน รอดได้ในทุกวิกฤต
ทั้งนี้ สมยศ ชัยรัตน์ กรรมการผู้จัดการและผู้บริหาร บริษัท แจ่มจรัส จำกัด ในเครือ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ให้บริการด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง โซลูชัน ระบุถึง 10 ทริก ในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ในตลาดภูธร ปรับตัวอย่างไรให้ธุรกิจรอด ประกอบด้วย
- เข้าใจ Insight คนภูธรแบบเจาะลึก
อย่ามองว่า “ภูธร” เป็นกลุ่มเดียวกัน เช่น กำหนดว่า เป็น Upcountry (คนต่างจังหวัด) เท่านั้น แต่ควรมองว่าแต่ละชุมชนในภาคต่างๆ มีวิถีชีวิต ความเชื่อ และความต้องการที่แตกต่างกันอย่างไร โดยแบรนด์ต้องศึกษาพฤติกรรม ความสนใจ รวมถึงรูปแบบการใช้สื่อทั้ง ออนไลน์ และสื่อท้องถิ่น ที่เจาะลึกอย่างแท้จริง ใช้ข้อมูล (Data) มาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และเข้าถึงพวกเขาได้อย่างแม่นยำ
- ทำแคมเปญที่สะท้อนความเป็นท้องถิ่น
การสื่อสารที่ใช้ความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่จะช่วยให้แบรนด์สร้างความใกล้ชิดกับชุมชนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษา ภาพ หรือเรื่องราวที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตท้องถิ่น เช่น การสื่อสารที่ใช้ภาษาท้องถิ่นซึ่งเข้าถึงอารมณ์และวัฒนธรรมในแต่ละกลุ่มหรือแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ การนำเสนอเรื่องราวหรือการร่วมมือกับบุคคลที่เป็นที่รู้จักนับถือในพื้นที่ (Local Influencers) จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้แบรนด์
- สร้างเนื้อหาที่ให้คุณค่าและช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่
เนื้อหาที่มีคุณค่าและเน้นการแก้ปัญหาสามารถสร้างประโยชน์ได้ตรงความต้องการที่แท้จริง ตัวอย่างเช่นแบรนด์ที่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้าง บ้าน การเกษตร เป็นสิ่งที่มีผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจากภัยพิบัติ ที่สามารถให้คำแนะนำ ความรู้ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเกิดน้ำท่วมซ้ำ หรือเทคนิคการจัดการทรัพยากรในพื้นที่ มากไปกว่านั้น
เนื้อหาเชิงให้ความรู้ที่ตรงกับชีวิตประจำวันของคนในท้องถิ่นก็มีความสำคัญ เช่น การแนะนำวิธีทำอาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาง่ายและมีประโยชน์ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์มีความใส่ใจและมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน
- ใช้กลยุทธ์ “Local Hero”
การใช้ KOLs หรืออินฟลูเอนเซอร์ในท้องถิ่นที่หลากหลาย เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดที่มีวิถีชีวิตเฉพาะตัว KOLs สายอาหารที่รีวิวร้านอาหารท้องถิ่นหรือเมนูขึ้นชื่อในพื้นที่สามารถเชื่อมโยงแบรนด์กับผู้บริโภคที่รักการกินและชอบค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ขณะที่ KOLs สายชอปปิ้งที่พาไปชมสินค้าในตลาดท้องถิ่นจะช่วยสื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์และคุณค่าของสินค้าชุมชน ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับของดีหรือความภูมิใจในท้องถิ่นอย่างแท้จริง คนเหล่านี้มีตัวตนอยู่ แต่การหาคนที่ใช่ของแต่ละพื้นที่ นับเป็นความท้าทายของนักการตลาด
นอกจาก KOLs แล้ว ศิลปินและนักร้องยังถือเป็นตัวแทนที่ทรงพลังในการเข้าถึงผู้บริโภคต่างจังหวัดอย่างลึกซึ้ง นักร้องมักมีฐานแฟนคลับที่ภักดีและเชื่อมโยงกับชุมชนด้วยผลงานเพลงที่เข้าถึงใจคนท้องถิ่น การที่แบรนด์ร่วมมือกับศิลปินในแคมเปญโฆษณาหรือกิจกรรมส่งเสริมการขาย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความใกล้ชิดระหว่างแบรนด์กับชุมชน ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์ไม่เพียงแค่ขายสินค้า แต่ยังสนับสนุนและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
- CSR สร้างความผูกพันกับชุมชน
การเปลี่ยนกลยุทธ์จากการตลาดปกติมาเป็นการทำ CSR เพื่อช่วยเหลือสังคมในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะสร้างความเชื่อมโยงและความไว้วางใจจากชุมชนท้องถิ่น ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงแต่ต้องการช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น คน เครื่องมือ หรือสินค้า มาสร้างบริการพิเศษ เช่น การจัดโปรโมชั่นลดราคาสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย การให้บริการขนส่งสินค้าเข้าสู่พื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ นอกจากจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสแล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกและความรู้สึกดีต่อแบรนด์ในฐานะผู้ช่วยเหลือสังคมได้ด้วยการลงมือทำจริง ๆ
- ใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อสร้างแคมเปญที่ปรับตัวได้
การใช้ AI ในการสร้างแคมเปญที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้อัตโนมัติ (AI Powered Business Intelligence Platform) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดที่มีความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคที่หลากหลาย การใช้ AI ช่วยให้แบรนด์สามารถติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคในพื้นที่แบบเรียลไทม์ และปรับแคมเปญให้ตอบสนองต่อความต้องการได้ทันที เช่น การเสนอสินค้าเฉพาะสำหรับฤดูกาลหรือเทศกาลท้องถิ่น โดย AI จะวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อในช่วงเทศกาลสำคัญและเสนอโปรโมชั่นที่สอดคล้องกับความต้องการในช่วงนั้น ๆ
นอกจากนี้ AI ยังสามารถแนะนำสินค้าตามพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าในพื้นที่ เช่น หากลูกค้านิยมซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค AI ก็จะปรับแคมเปญให้แนะนำสินค้าที่เป็นที่ต้องการในพื้นที่นั้น รวมถึงการส่งข้อเสนอพิเศษเฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าประจำเพื่อส่งเสริมความผูกพันและภักดีต่อแบรนด์
- นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนและช่วยเหลือท้องถิ่น
ความยั่งยืนและการสนับสนุนท้องถิ่นกำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ แบรนด์สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากชุมชนหรือสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น เช่น ใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรในพื้นที่ หรือนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกว่าการซื้อสินค้าของพวกเขามีความหมายและเป็นประโยชน์กับสังคม
- สร้างความร่วมมือกับธุรกิจและองค์กรในท้องถิ่น
การร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่น เช่น ร้านค้าปลีก สหกรณ์ หรือตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้รวดเร็วและสร้างความน่าเชื่อถือ การจัดกิจกรรมร่วมกับองค์กรในชุมชน (Local On-ground Activity) เช่น การจัดงานตลาดนัดในชุมชนหรือแคมเปญการกุศลจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความใส่ใจในชุมชน ทำให้ผู้บริโภคท้องถิ่นรู้สึกว่าแบรนด์นี้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมของพวกเขา
- ปรับการบริการลูกค้าให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น
การบริการลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค การฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้บริโภคในท้องถิ่น หรือใช้พนักงานที่มาจากท้องถิ่นนั้น ๆ จะช่วยให้การบริการมีความเป็นมิตรและเป็นที่รักของคนในชุมชน เช่น การให้คำแนะนำหรือข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในลักษณะที่ใกล้ชิดเป็นกันเอง การบริการในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความจงรักภักดีต่อแบรนด์ได้
- ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดแคมเปญ
การให้ผู้บริโภคในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการออกแบบแคมเปญจะช่วยสร้างความผูกพันและการมีส่วนร่วมในชุมชน เช่น การจัดให้ผู้บริโภคเลือกโปรเจกต์หรือกิจกรรมที่ต้องการสนับสนุน เช่น โครงการก่อสร้างโรงเรียน ซ่อมแซมสาธารณูปโภคที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม หรือกิจกรรมช่วยเหลือชุมชน ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์ของคุณไม่เพียงแค่ต้องการขายสินค้า แต่ยังให้ความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชน