“บิ๊กตู่”เสนอ IMT-GTผลักดัน 5 แผนงานหลักสามประเทศ

“บิ๊กตู่”เสนอ IMT-GTผลักดัน 5 แผนงานหลักสามประเทศ


“บิ๊กตู่” เป็นผู้นำประชุมแผนงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT ) ได้เสนอให้ขับเคลื่อนแผนงาน 5 ข้อ อาทิ พัฒนาเครือข่ายพื้นฐาน,ยกระดับห่วงโซ่เกษตร,พัฒนาเมืองสีเขียว

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๒ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้นำประเทศเข้าร่วมการประชุมสำคัญได้แก่ นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุม และตุน ดร. มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมด้วยรัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT ของสามประเทศ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีแผนงาน IMT-GT ของไทย เลขาธิการอาเซียน ดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ๊อก ฮอย และประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย นายทาเคฮิโกะ นากาโอะ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

ที่ประชุมได้เน้นย้ำความสำคัญของแผนงาน IMT-GT ที่ดำเนินมาเป็นเวลา ๒๖ ปี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดความยากจนของประชาชนในพื้นที่ และตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องทบทวนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔ ในช่วงกึ่งกลางแผนเพื่อให้สามารถรับมือกับโอกาสและความท้าทายที่เกิดขึ้น อาทิ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ ๔ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร การเติบโตของชุมชนเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น

ขณะเดียวกันผู้นำ ๓ ประเทศเห็นพ้องร่วมกันว่าแนวทางการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาของ IMT-GT เนื่องจากทั้ง ๕ ระเบียงเศรษฐกิจที่เริ่มดำเนินการในปี ๒๕๕๐ ได้ช่วยพลิกโฉมโครงข่ายด้านการคมนาคมให้กลายเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงการผลิต การค้า และการท่องเที่ยว มีการรวมกลุ่มคลัสเตอร์กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเป็นศูนย์กลางกระจายโอกาสการพัฒนาไปสู่พื้นต่าง ๆ นอกจากนี้ ได้ยืนยันที่จะเพิ่มระเบียงเศรษฐกิจที่ ๖ เชื่อมโยงจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส เข้ากับรัฐเประและรัฐกลันตันในมาเลเซีย และเชื่อมโยงทางทะเลไปยังเกาะสุมาตรา ตอนใต้ในอินโดนีเซีย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการทบทวน ประเมินและปรับทิศทาง ให้มีบูรณาการของการพัฒนาในระเบียงเศรษฐกิจเดิมทั้ง ๕ ระเบียง รวมทั้งบูรณาการกับระเบียงเศรษฐกิจที่ ๖

ที่ประชุมได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงระหว่างกันในอนุภูมิภาคทั้งในมิติโครงสร้างพื้นฐานและมิติกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ IMT-GT โดยเร่งรัดการลงทุนในโครงการเชื่อมโยงทางกายภาพ (Physical Connectivity Projects) จำนวน ๓๙ โครงการใน ๓ ประเทศ มูลค่ารวม ๔๗,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ ๑.๔๕ ล้านล้านบาท) โดยปัจจุบันหลายโครงการมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความสะดวกในการคมนาคมขนส่งและการประกอบธุรกิจมากขึ้น อาทิ รถไฟรางเบาสายสุมาตราใต้ในเมืองปาเลมบังของอินโดนีเซีย โครงการปรับปรุงอาคารที่ทำการ ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ จังหวัดสงขลา โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรวังประจัน จังหวัดสตูล และโครงการเมืองยางพารา จังหวัดสงขลา เป็นต้น ด้านการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนความเชื่อมโยง ได้มี

การลงนามพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ว่าด้วยการขยายเส้นทางบิน โดยรัฐมนตรีคมนาคม ๓ ประเทศเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทางอากาศระหว่างกันยิ่งขึ้นในพื้นที่ IMT-GT และรองรับการเพิ่มขึ้นของการให้บริการโดยสายการบินต่าง ๆ ภายในอนุภูมิภาค ผู้นำแผนงาน IMT-GT ยังได้รับทราบถึงความสำเร็จในการจัดทำกรอบการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนปี ๒๕๖๒ – ๒๕๗๙ (Sustainable Urban Development Framework 2019 – 2036) เพื่อเป็นแนวทางในการขยายผลโครงการเมืองสีเขียวให้เป็นที่แพร่หลายในพื้นที่แผนงาน IMT-GT โดยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มูลค่า ๑๖,๙๓๔ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ ๕.๒๔ แสนล้านบาท) พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวที่มีศักยภาพจากทั่วโลก

นอกจากนี้ ทั้งสามประเทศยังได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการเร่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาจุดแข็งของพื้นที่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเครื่องมือสนับสนุน อาทิ การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือด้านการแปรรูปผลผลิตยางและปาล์มน้ำมันเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ส่งเสริมผู้ประกอบการฮาลาลรุ่นใหม่ (Halal Startup) และการเตรียมความพร้อมแรงงานให้มีทักษะที่จำเป็น สามารถปรับตัวเข้ากับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงจากผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ ๔ รวมไปถึงการร่วมมือกันพัฒนาให้เกิดการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวจุดหมายเดียว ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสู่อนุภูมิภาคมากขึ้น

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการขับเคลื่อนแผนงาน IMT-GT ๕ ประเด็นดังนี้

๑. ติดตามประเมินผลความก้าวหน้าของแผนงาน IMT-GT บนพื้นฐานของการลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง โดยพิจารณาจากผลสำเร็จในการยกระดับคุณภาพชีวิตของภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วน การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจถึงระดับชุมชนท้องถิ่นและโอกาสของวิสาหกิจทุกขนาด รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำทางสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะ
๒. พัฒนาความเชื่อมโยงโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานแบบบูรณาการเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และสอดรับกับทิศทางนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน โดย
(๑) ระเบียงเศรษฐกิจระนอง-ภูเก็ต-อาเจะห์ ควรเร่งพัฒนาความเชื่อมโยงทางทะเลจากคาบสมุทรมลายาสู่สุมาตราของอินโดนีเซียโดยผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน และควรเร่งพัฒนาเส้นทางเรือสำราญที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวบนบก
(๒) ระเบียงเศรษฐกิจสงขลา-ปีนัง-เมดาน ควรเร่งบูรณาการการเชื่อมโยงทางถนนระหว่างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ของไทย-ด่านศุลกากรบูกิตกายูฮิตัมของมาเลเซีย และ (๓) ระเบียงเศรษฐกิจปัตตานี/ยะลา/นราธิวาส – เประ/กลันตัน – สุมาตราใต้ ควรเร่งก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งใหม่สองแห่งเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งมีโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” รวมทั้งเมืองต้นแบบแห่งที่ ๔ ที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา และเขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส เข้ากับพื้นที่ภาคตะวันออกของมาเลเซีย ซึ่งกำลังมีการพัฒนาโครงการเส้นทางรถไฟสายตะวันออกที่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน รวมไปถึงการเชื่อมโยงกับสุมาตราใต้ของอินโดนีเซียทางทะเล

๓. ยกระดับห่วงโซ่คุณค่าสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ยาง ปาล์มน้ำมัน ประมงแปรรูป และผลิตภัณฑ์ฮาลาล โดยมุ่งเน้นให้เกิดการวิจัย พัฒนา และใช้นวัตกรรมร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อสร้างอุปสงค์ต่อผลผลิตทางการเกษตรในอนุภูมิภาคทั้งในขั้นตอนการแปรรูปต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวและสร้างงานเพิ่มขึ้น เป็นผลให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่

๔. ต่อยอดการพัฒนาเมืองสีเขียวสู่การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนในหลายมิติ โดยเร่งรัดการดำเนินการให้เร็วกว่าเป้าหมายและหยิบยกประเด็นความร่วมมือในเรื่องที่เร่งด่วน เช่น โครงข่ายการคมนาคมสีเขียว และการลงทุนกิจกรรมเศรษฐกิจสีเขียวภายใต้กรอบการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เป็นต้น

๕. เสริมสร้างบทบาทของมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด (CMGF) ในการสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย IMT-GT (UNINET) สภาธุรกิจ IMT-GT และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน แผนงาน IMT-GT นอกจากนี้ สำนักงาน CMGF และสภาธุรกิจ IMT-GT ของไทย พร้อมให้การสนับสนุนทางเทคนิค และให้คำปรึกษาแก่อินโดนีเซียและมาเลเซียในด้านการจัดตั้งโครงสร้างองค์กร CMGF ที่มีประสิทธิภาพเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างกันต่อไป

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
ประชุมอาเซียนครั้งที่ 34 เน้นปูทางเทคโนโลยีสู่ยุคดิจิทัล