การเมืองคลุมเครือ ส่อฉุดผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน H2/66 ชะลอตัว

การเมืองคลุมเครือ ส่อฉุดผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน H2/66 ชะลอตัว


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าช่วงที่เหลือของปี 2566 การออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน มีโอกาสต่ำกว่าปีก่อนหน้า เนื่องจากความไม่แน่นนอนทางการเมือง ส่งผลต่อการลงทุนของภาครัฐและการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนที่ชะลอตัว

 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในประเทศไทย มูลค่าการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุมาจากการออกตราสารหนี้ Sustainability Bond ของภาครัฐบาล เพื่อใช้ในโครงการเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคโควิด-19 ลำดับถัดมา ได้แก่ การออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนในประเภท Green และ Sustainability-Linked เช่นเดียวกับในต่างประเทศ

สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 การออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน มีมูลค่า 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 108% จากการออก Sustainability Bond ของภาครัฐ เป็นสำคัญ

ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปี 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน มีโอกาสต่ำกว่าปีก่อนหน้า เนื่องจากความไม่แน่นนอนทางการเมือง ส่งผลต่อการลงทุนของภาครัฐและการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนที่ชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และโครงการลงทุนต่างๆ เดินหน้าได้ ภายใต้นโยบายส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในมิติต่างๆ รวมถึงความตื่นตัวต่อประเด็นดังกล่าวของภาคเอกชนนั้น คงทำให้มีโอกาสกลับมาเห็นกิจกรรมการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนที่คึกคักขึ้น

* ความท้าทายของการเงินเพื่อความยั่งยืนในไทย
1. ผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนมีความน่าสนใจน้อย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยยังมีสภาพคล่องต่ำ และส่วนใหญ่เป็นการออกตราสารหนี้โดยภาครัฐ ขณะที่นักลงทุนสนใจโครงการประเภทพลังงานหมุนเวียนของภาคเอกชนมากกว่า ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนมีความน่าสนใจน้อย

โดยสัดส่วนมูลค่าการออกการเงินเพื่อความยั่งยืนในปี 2565 คิดเป็น 1.7% ของการมูลค่าตราสารหนี้ทั้งหมดในประเทศ เทียบกับทั่วโลกที่มีสัดส่วน 6.6% ขณะที่การออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนส่วนใหญ่ มาจากหน่วยงานรัฐ ซึ่งได้แก่ กระทรวงการคลัง รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งใช้การการดำเนินกิจการของรัฐบาล เช่น จ่ายเงินเยียวยาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บ้านเอื้ออาทร เป็นต้น ซึ่งมีสัดส่วน 58% ของการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศปี 2563 – 2566 ขณะที่นักลงทุนสนใจลงทุนในโครงการพลังงงานหมุนเวียนและการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น รถไฟฟ้า เป็นต้น

2. กระบวนการเสนอขายตราสารหนี้ที่ซับซ้อน และมีต้นทุนในการออกสูงกว่าตราสารหนี้ปกติ

ในการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน จะมีกระบวนการที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม เช่น กำหนดวัตถุประสงค์ของการใช้เงินในโครงการที่กำหนด การรายงานผลการดำเนินการรายปี เป็นต้น รวมถึงต้องได้รับการรับรองจากผู้ประเมินภายนอก (External Verifier) ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจาก

อย่างไรก็ดี สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขออนุญาตของตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน รวมถึง ThaiBMA และ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) มีมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายดังกล่าว ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2567

3. ประโยชน์ที่ได้จากการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน สูงกว่าตราสารหนี้ปกติเล็กน้อย ไม่คุ้มกับกระบวนการที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนในการออก

ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนในต่างประเทศ มีส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Credit Spread) ต่ำกว่าตราสารหนี้ปกติ 15 – 20 bps ขณะที่ประเทศไทยมีส่วนต่างอัตราผลตอบแทนต่ำกว่าเพียง 10 bps รวมถึงกระบวนการ และระยะเวลาในการขออนุญาตในการเสนอขายตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน ไม่ได้แตกต่างจากการออกตราสารหนี้ปกติ ทำให้ผู้กู้ เลือกออกผลิตภัณฑ์การเงินปกติมากกว่า

4. ขาดโครงการที่เข้าข่ายตามวัตถุประสงค์ และกฎระเบียบที่ชัดเจนในการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน

ผลสำรวจตลาดตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมของไทย โดย Asian Development Bank ถึงปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม โดย 38% เห็นว่าโครงการที่เข้าข่ายและสนใจลงทุน มีจำนวนน้อย และ 20% ไม่เห็นประโยชน์ชัดเจนระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้ปกติ

อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย ดังนี้

1. หน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินได้ออก Thailand Taxonomy ฉบับที่ 1 เพื่อจัดหมวดหมู่กิจกรรมที่เป็นตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้มีการจัดกิจกรรมเพื่อขอผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนง่ายขึ้น

2. แผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) จะช่วยส่งเสริมให้มีการลงทุนด้านความยั่งยืนมากขึ้น

3. การสนับสนุนของภาครัฐและนักลงทุนรายใหญ่ มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืน เช่น การยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีจากการลงทุน การสนับสนุนดอกเบี้ยจ่าย การลดระยะเวลาการพิจารณาขออนุญาต เป็นต้น จะช่วยให้ผู้ออกตราสารเห็นถึงประโยชน์ของการหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนมากขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า แม้การดำเนินการข้างต้น จะช่วงส่งเสริมให้การเงินเพื่อความยั่งยืนในระยะเริ่มต้นได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แต่ยังต้องคำนึงถึงข้อจำกัดในการดำเนินการด้านความยั่งยืนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กอย่าง SMEs ด้วย ซึ่งอาจต้องอาศัยกลไกด้านการเงินอื่นๆ มากกว่า อาทิ การสนับสนุนเงินทุนต้นทุนต่ำ รวมถึงกลไกการค้ำประกันสินเชื่อจากภาครัฐผ่านธนาคารพาณิชย์

โดยอาจเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนมาสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานหมุนเวียน ซึ่งต้องดำเนินควบคู่กับการให้ความรู้ความเข้าใจในการดำเนินการด้านความยั่งยืน ให้ผู้ประกอบการมีข้อมูลที่ใช้เพื่อนำมาตัดสินใจดำเนินธุรกิจ เช่น การวัด Footprint และเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่เป้าหมายความยั่งยืนมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่อง และราบรื่นขึ้น.

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

กรุงเทพมหานครหาทางออกให้”แอชตัน อโศก”ไม่ต้องรื้อถอนอาคาร
https://www.thaiquote.org/content/250834

ดร.ธรณ์ ชี้ปรากฎการณ์น้ำเขียวที่เกาะล้าน และเต่ามะเฟืองวางไข่ที่ภูเก็ตเป็นปรากฎการณ์ “โลกเดือด”
https://www.thaiquote.org/content/250831

ภัยพิบัติฝนถล่ม อิ๋งเจียงและยูนนาน ตายแล้ว 2 บาดเจ็บ 4 อพยพนับพัน
https://www.thaiquote.org/content/250832