'การชดเชยคาร์บอน' กลลวงของการฟอกเขียว ที่แนบเนียนที่สุดวิธีหนึ่งของโลก เราจะป้องกันตัวอย่างไร

by อาวินาช บี (Avinash B), 7 กันยายน 2567

การชดเชยคาร์บอนถือเป็นกลลวงทางกรีนวอชชิ่งที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งของโลก แม้ว่าการชดเชยคาร์บอนอาจเริ่มต้นจากความซื่อสัตย์และความจริงใจ แต่ปัจจุบันก็ล้มเหลวในการแก้ปัญหาการปล่อยคาร์บอน

 

 

ในช่วงไม่กี่เดือนและไม่กี่ปีที่ผ่านมา สังคมของเราได้มีแรงผลักดันมากขึ้นในการเปิดโปงเรื่องนี้ เรื่องนี้ได้รับการเน้นย้ำในงานประชุม COP เขียนโดยองค์กรการกุศลด้านสิ่งแวดล้อมรายใหญ่ ในที่นี้เราต้องการอธิบายคำกล่าวอ้างเหล่านี้ให้เรียบง่ายที่สุด และในบทความนี้จะบอกคุณว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้างแทน

การชดเชยคาร์บอน (Carbon offset) คืออะไร?

มาเริ่มกันด้วยการเตือนความจำสั้น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าการชดเชยคาร์บอน ในแง่ง่าย ๆ การชดเชยคาร์บอนคือการชดเชย CO2 ที่คุณ (บุคคลหรือบริษัท) ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน การชดเชยดังกล่าวมักอยู่ในรูปของเงิน เงินจำนวนดังกล่าวจะถูกแจกจ่ายให้กับบริษัทหรือองค์กรการกุศลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำสิ่งที่ 'ดี' ต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคม

ในทางเทคนิคแล้ว เงินจำนวนดังกล่าวควรจะใช้เพื่อลดปริมาณ CO2 ในชั้นบรรยากาศในปริมาณที่กำหนด (โดยปกติแล้วจะเท่ากับปริมาณ CO2 ที่ปล่อยออกมา) ซึ่งอาจทำได้โดยการเพิ่มการกักเก็บคาร์บอน (ปลูกต้นไม้ที่ดูดซับ CO2) หรือป้องกันการปล่อย CO2 เพิ่มเติม ในแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดโครงการควรมีแนวคิดเรื่องการเพิ่มแนวทางในการลด CO2

แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นเพียงคำที่แต่งขึ้น ซึ่งหมายความว่าให้เงินทุนสนับสนุนสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากการวิจัยในปี 2017 (พ.ศ. 2560) และ 2021 (พ.ศ. 2564) โดย Carbon Plan แสดงให้เห็นว่าโครงการชดเชยคาร์บอน 85% ไม่มีเงื่อนไขที่ชัดเจนเพื่อการลดปริมาณ CO2

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดความสับสนคือความแตกต่างระหว่างบริษัทที่ซื้อและขายเครดิตคาร์บอนผ่านโครงการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบางประเภท กับบุคคลทั่วไปที่ได้รับข้อเสนอการชดเชย CO2 เช่น เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินหรือสั่งซื้อสิ่งของที่ไม่ต้องการบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ในโพสต์นี้ ในกรณีนี้มีหลักฐานเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าตลาดคาร์บอนที่บริษัทต่าง ๆ ดำเนินการอยู่นั้นไม่ได้ผล และเพียงแค่ให้ใบอนุญาตแก่ผู้ก่อมลพิษหนักในการสร้างมลพิษมากขึ้น

ดังนั้น เกี่ยวกับโอกาสในการชดเชยที่คุณอาจพบในชีวิตประจำวัน เราต้องการจะกล่าวถึงคำถามสำคัญสองสามข้อที่คุณควรมี

1. ฉันจะปล่อย CO2 เมื่อใด?
2. ต้นทุนของ CO2 นั่นคือเท่าไหร่?
3. หากฉันเลือกที่จะชดเชยการปล่อยมลพิษบางส่วน เงินจะไปไหน?
4. แล้วฉันควรจะต้องชดเชยการปล่อยคาร์บอนหรือไม่?

มาพิจารณาคำถามเหล่านี้กัน

ฉันจะปล่อย CO2 เมื่อใด?

คนมองโลกในแง่ร้ายจะพูดว่า — แค่หายใจออกก็ปล่อยก๊าซ CO2 สู่ชั้นบรรยากาศแล้ว เด็กมัธยมทุกคนก็รู้เรื่องนั้น แต่ยังมีอีกหลายวิธีที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก

สาเหตุหลักมาจากการเดินทาง (รถยนต์และเครื่องบินที่ไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นสาเหตุหลัก) การให้ความร้อนหรือความเย็นในห้องนั่งเล่น/ห้องทำงาน และการรับประทานอาหาร การซื้อของก็ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน แต่ผลกระทบเชิงลบจะรุนแรงกว่าในแง่ของขยะและมลพิษ กราฟด้านล่างแสดงตัวอย่างครัวเรือนที่มีระดับรายได้ต่างกันในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวเลขดังกล่าวเป็นการรวมกันของเอกสาร 2 ฉบับจากปี 2019 (พ.ศ. 2562) และ 2020 (พ.ศ.2563) ที่รวบรวมโดยบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์เซโรฟี่ (Zerofy)

 

 

 

กราฟนี้แสดงข้อมูลบางอย่าง ประการแรก ตัวเลข 'เฉลี่ย' หรือการปล่อยก๊าซต่อหัวแทบไม่มีความหมายใด ๆ และขึ้นอยู่กับรายได้ของครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่ ประการที่สอง การขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นทางบก (รถยนต์) หรือทางอากาศ เป็นตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซคาร์บอน และสุดท้าย สหรัฐอเมริกาปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านอาหารมากกว่าสหภาพยุโรปมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการบริโภคและผลิตเนื้อสัตว์มากขึ้นในประเทศ

2. ต้นทุนของ CO2 คือเท่าไหร่?

การวัดมาตรฐานคือ 'หนึ่งตันของ CO2' ซึ่งเท่ากับปริมาณที่ต้นไม้ 50 ต้นดูดซับได้ในหนึ่งปีของการเจริญเติบโตแต่ต้นทุนของการเติม CO2 ลงในบรรยากาศนั้นแตกต่างกันมากกับต้นทุนของการกำจัด CO2


ในขณะนี้ 'ราคา' ของ CO2 ถูกขับเคลื่อนโดยตลาดการเงิน แต่ต่างจากราคา 'สินค้าโภคภัณฑ์' อื่น ๆ ตรงที่ราคาจะแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณถาม ในสหรัฐอเมริกา ราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ50 เหรียญสหรัฐต่อตัน (ประมาณ 1,700 บาท) แม้ว่าการศึกษาหลายชิ้นจะแนะนำว่าต่ำเกินไปก็ตาม

การศึกษาล่าสุดครั้งหนึ่งของ เนเธอร์ (Nature)แนะนำว่า 185 เหรียญสหรัฐต่อตัน (ประมาณ 6,320 บาท) จะเป็นตัวเลขที่สมจริงกว่า ในสหราชอาณาจักร มีการเผยแพร่ แบบจำลองการเติบโตของราคา CO2 จนถึงปี 2050 (พ.ศ.2593) ทำให้ราคาในปี 2023 (พ.ศ. 2566) อยู่ที่ประมาณ250 ปอนด์หรือประมาณ 11,000 บาท โดยรวมแล้ว ราคาเฉลี่ยทั่วโลกนั้นต่ำมาก ( IMFประมาณการไว้ที่ 3 ดอลลาร์ต่อตัน ) ซึ่งแทบจะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการระดมทุนสำหรับโครงการลดคาร์บอน คุณควรใช้ตัวเลขใด เราขอแนะนำให้ใช้ตัวเลขประมาณ 220 ดอลลาร์หรือราว 7,500 บาท ซึ่งเป็นราคาควอร์ไทล์บนสุดของราคาจริงในการศึกษาวิจัยของเนเธอร์

ตอนนี้คุณได้กำหนดราคาการปล่อยมลพิษของคุณแล้ว คุณจะทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?

3.หากฉันเลือกที่จะชดเชยการปล่อยมลพิษบางส่วน เงินจะไปอยู่ที่ไหน?

เงินที่คุณบริจาคเพื่อชดเชยบาปของคุณ (หมายถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก) หายไปไหน? การหาตัวเลขที่บอกได้ว่ามีคนจำนวนเท่าใดที่เลือกที่จะชดเชยสิ่งนี้เป็นเรื่องยากมาก ตามข้อมูลของ CO2 UK ซึ่งเป็นบริษัทที่ช่วยให้เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเพิ่มวิดเจ็ต 'การชดเชย CO2' ลงในการชำระเงิน พบว่าผู้บริโภค 23% ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อได้รับโอกาส ไม่มีข้อมูลใดมาสนับสนุนการอ้างสิทธิ์นี้ แต่เราถือว่าข้อมูลนี้มาจากข้อมูลของพวกเขาเอง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีหน่วยงานกลางให้การรับรอง

เงินบริจาคจำนวนเท่าใดจึงจะถูกนำไปใช้ในโครงการกำจัดคาร์บอน? หากจะพูดถึง CO2 UK หน้าคำถาม ที่พบบ่อย ระบุว่าพวกเขาได้รับค่าคอมมิชชั่นถึง 25% จากการบริจาคเพื่อ "ให้ธุรกิจของพวกเขาดำเนินต่อไปได้" ซึ่งถือเป็นค่าธรรมเนียมนายหน้าที่สูงมาก แม้แต่ในนิตยสาร Timeก็ยังกล่าวถึง 'คนกลาง' เหล่านี้ ซึ่งคุณแทบจะไม่สามารถกำกับดูแลโครงการจริงที่เงินของคุณใช้ไป (หรือไม่ใช้ไป) และไม่ชัดเจนเสมอไปว่าเงินบริจาคของคุณจะถูกนำไปใช้ในโครงการจริงมากเพียงใด บริษัทขนาดใหญ่ เช่น คูล เอฟเฟค (Cool Effect) เก็บเงินไว้เองน้อยกว่าที่ตนเองปล่อย (ประมาณ10% ) แต่ใช้ราคาคาร์บอนที่ต่ำอย่างน่าขัน (ปัจจุบันอยู่ที่ 14.50 ดอลลาร์ต่อตันหรือต่ำกว่า 500 บาท)

เงินที่นำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ บางครั้งก็ไปผิดที่ ปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักพบคือโครงการที่จ่ายเงินให้คนอื่นไม่ตัดต้นไม้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่โครงการชดเชย CO2 ขนาดใหญ่หลายแห่งก็จัดโครงการประเภทนี้ขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วก็เท่ากับเป็นการติดสินบน และความจริงที่ว่าโครงการชดเชย CO2 ส่งเสริมกิจกรรมในลักษณะนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าละอาย แต่พวกเขาทำเพราะว่ามันง่าย

 

 

 

สิ่งสุดท้ายที่ต้องพิจารณาที่นี่คือ 'โครงการ' เหล่านี้ที่ควรจะชดเชยคาร์บอนนั้นสร้างอันตรายต่อสังคมมากกว่าหรือไม่ บทความของ เดอะ การ์เดียน (The Guardian) แสดงให้เห็นว่าการสร้างพื้นที่ที่ต้นไม้ได้รับการคุ้มครองนั้นทำให้พื้นที่อื่น ๆ กลายเป็น 'พื้นที่เสรี' และถูกทำลายป่าเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของกลุ่มชนพื้นเมืองที่ถูกย้ายออกจาก 'พื้นที่คุ้มครอง' ที่พวกเขาอาศัยอยู่ เพื่อไม่ให้พวกเขาตัดต้นไม้ หรือเพื่อให้บริษัทเอกชนสามารถปลูกต้นไม้ที่นั่นได้

4. ฉันควรจะชดเชยการปล่อยคาร์บอนของฉันหรือไม่?

ตอนนี้คุณคงเดาคำตอบของฉันได้แล้วว่าจะต้องเป็นอะไรประมาณว่า 'ไม่มีทาง!' และคุณก็เดาถูก แต่มีข้อแม้หนึ่งประการ หากการไม่บริจาคเงินให้กับโครงการชดเชยหมายความว่าคุณไม่ได้ชดเชยหรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เลย แสดงว่าคุณต้องพิจารณาตัวเองและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณอย่างจริงจังเสียที

ขั้นตอนแรกในการชดเชยการปล่อยมลพิษคือการรู้ว่าคุณปล่อยมลพิษเท่าไรและมีค่าใช้จ่ายเท่าไร เครื่องคำนวณ CO2 สำหรับการท่องเที่ยวและอาหารมีให้เลือกมากมาย จากนั้นใช้ราคาคาร์บอนข้างต้นเพื่อคำนวณว่าคุณควรชดเชยเท่าไร แม้ว่าโครงการเหล่านั้นจะยังคงใช้คำว่า 'ชดเชย' แต่การฟอกเขียวสะดวกกว่าเสมอ ดังนั้นควรใช้เวลาในการค้นคว้าเกี่ยวกับโครงการที่คุณสนใจและบริจาคเงินให้กับโครงการเหล่านั้นว่าปฏิบัติได้จริง

และสุดท้าย ไม่ว่าคุณจะบริจาคเงินให้กับโครงการใด ๆ ก็ตาม โปรดจำไว้ว่าการป้องกันย่อมดีกว่าเสมอ พยายามกำหนดงบประมาณคาร์บอน

จากข้อมูลธนาคารโลก ในปี 2563 คนไทยปล่อย CO2 อยู่ที่ 3.71 เมตริกตันต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าปี 2533 อยู่ที่ประมาณ 1.6 เมตริกตันต่อคนต่อปี สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียนในปี 2563 เวียดนามปล่อย CO2 3.68 เมตริกตันต่อคนต่อปี และประเทศฟิลิปปินส์ 1.19 เมตริกตันต่อคนต่อปี

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เราถูกหลอก จึงควรพยายามชดเชยให้เป็นไปตามนั้น เช่นเดียวกับที่บริษัทหรือองค์กรทำงบประมาณทางการเงิน หากคุณมีเงินเพียงพอ พยายามชดเชยการปล่อย CO2 ทั้งหมดของคุณ ไม่ใช่แค่ส่วนที่เกินงบประมาณเท่านั้น คอยตรวจสอบโครงการของคุณอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นโครงการการกุศลหรือการบริจาคเพื่อการเปลี่ยนแปลงนโยบาย พยายามบริจาคเวลาที่มีค่าของคุณควบคู่ไปกับเงินของคุณหากคุณไม่มีเงินเพียงพอ แต่จงเลือกอย่างชาญฉลาดเสมอ!

 

ที่มา: https://medium.com/@avinashbhavnani/please-stop-offsetting-your-carbon-emissions-6dac780e14f6

 

หมายเหตุ: วันทนา อรรถสถาวร แปล