เมื่อพูดถึงภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลายคนอาจนึกถึงความแห้งแล้ง น้ำท่วม หรือพายุที่รุนแรงขึ้น แต่มีอีกหนึ่งภัยที่กำลังคืบคลานมาอย่างเงียบ ๆ นั่นคือ “เชื้อรา” ที่กำลังขยายอาณาเขตการแพร่กระจายและกลายเป็น ดื้อยา รักษายากมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตัวเลขที่น่าตกใจ
ในแต่ละปี โรคเชื้อราคร่าชีวิตผู้คนไปถึง 2.5 ล้านคน โดยการติดเชื้อราที่รุกรานทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3.8 ล้านคนต่อปี และที่น่ากังวลคือตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้มาก เนื่องจากหลายพื้นที่ยังขาดข้อมูล
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ เราเพิ่งจะรู้จักเชื้อราเพียงแค่ 10% เท่านั้น ยังมีเชื้อราอีกกว่า 90% ที่ยังไม่สามารถระบุชนิดได้ แสดงให้เห็นว่าเรายังไม่รู้จักศัตรูที่กำลังคุกคามเราอย่างแท้จริง
แอสเปอร์จิลลัส ศัตรูเงียบที่อันตราย
เชื้อราแอสเปอร์จิลลัสเป็นหนึ่งในเชื้อราที่อันตรายที่สุด เติบโตในดินทั่วโลกและสามารถแพร่กระจายข้ามทวีปได้ โดยปล่อยสปอร์ขนาดเล็กจำนวนมากที่แพร่กระจายไปในอากาศ
สำหรับคนทั่วไปที่มีสุขภาพดี ระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดสปอร์เหล่านี้ได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น:
- ผู้ป่วยโรคปอด (หอบหืด โรคซิสติกไฟโบรซิส โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง)
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ)
- ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่รุนแรงหรือโควิด-19
หากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถต้านทานได้ เชื้อราจะเริ่มเติบโตและกัดกินร่างกายจากภายในสู่ภายนอก อัตราการเสียชีวิตจากโรคแอสเปอร์จิลโลซิสอยู่ที่ 20-40% ซึ่งถือว่าสูงมาก
โลกร้อนเท่ากับเชื้อราแพร่กระจายมากขึ้น
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้ใช้การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อทำแผนที่การแพร่กระจายของเชื้อราแอสเปอร์จิลลัสในอนาคต ผลการศึกษาพบว่า
ขยายอาณาเขตใหม่
เชื้อราแอสเปอร์จิลลัสบางสายพันธุ์จะขยายอาณาเขตแพร่กระจายไปยังพื้นที่ใหม่ใน:
- อเมริกาเหนือ
- ยุโรป
- จีน
- รัสเซีย
แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส: ภัยคุกคามคู่
เชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส มีความอันตราย 2 เท่า
- ทำให้เกิดโรคในมนุษย์ และดื้อยาหลายชนิดมากขึ้น
- ทำลายพืชผลทางการเกษตร และสร้างสารพิษอะฟลาทอกซินที่อาจทำให้ตับเสียหายและเกิดมะเร็ง
การศึกษาคาดการณ์ว่า หากมนุษย์ยังคงเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณมาก เชื้อราชนิดนี้อาจแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น 16% และการแพร่กระจายของเชื้อราอาจเพิ่มขึ้นถึง 77.5% ภายในปี 2100
ปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น
การวินิจฉัยที่ยากลำบาก
โรคแอสเปอร์จิลโลซิสมีอาการไข้และไอ ซึ่งเป็นอาการทั่วไปที่พบในโรคหลายชนิด ทำให้แพทย์อาจไม่สามารถวินิจฉัยได้ทันท่วงที
ยารักษาจำกัด ความดื้อยาเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมียารักษาโรคเชื้อราเพียง 4 กลุ่มเท่านั้น และเชื้อราที่ก่อโรคกำลังดื้อต่อการรักษามากขึ้นเรื่อย ๆ องค์การอนามัยโลกได้เพิ่มเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส เข้าในกลุ่มเชื้อราที่สำคัญในปี 2022 เนื่องจากมีผลกระทบต่อสุขภาพและมีความเสี่ยงต่อการดื้อยาสูง
สภาพอากาศรุนแรงเร่งการแพร่กระจาย
เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และคลื่นความร้อน ช่วยแพร่กระจายสปอร์ได้ในระยะทางไกล โดยโรคเชื้อราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเกิดภัยธรรมชาติ
กลุ่มเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ข้อมูลจากการศึกษาผู้ป่วยมากกว่า 100 ล้านคนทั่วสหรัฐ พบว่า ระหว่างปี 2013-2023 มีผู้ป่วยโรคแอสเปอร์จิลโลซิสมากกว่า 20,000 ราย โดยมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ทุกปี
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุด ได้แก่
- กลุ่มประชากรด้อยโอกาส โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
- ผู้ป่วยโรคร้ายแรงที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ที่ระบบดูแลสุขภาพไม่เพียงพอ
ผลกระทบต่ออนาคต
การคาดการณ์แสดงให้เห็นว่า การแพร่กระจายของเชื้อราอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในยุโรปถึง 9 ล้านคน และส่งผลกระทบต่อ:
- ความมั่นคงด้านอาหาร จากการทำลายพืชผลทางการเกษตร
- ปัญหาสุขภาพสาธารณะ ที่แย่ลงอย่างต่อเนื่อง
- ระบบนิเวศ เนื่องจากในบางพื้นที่อุณหภูมิอาจร้อนจัดจนเชื้อราไม่สามารถเจริญเติบโตได้
ทางออกและความท้าทาย
แม้ว่าสถานการณ์จะดูน่าวิตก แต่ยังมีความหวัง การพัฒนาวัคซีนและการวิจัยเชื้อราเป็นพื้นที่ที่ต้องการการตอบสนองอย่างเร่งด่วน เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากเชื้อราที่กำลังเกิดขึ้น
นอร์แมน ฟาน ไรน์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์กล่าวว่า “เราไม่ได้ทำการวิจัยเชื้อรามากนัก เมื่อเทียบกับไวรัสและปรสิต แต่แผนที่เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเชื้อราอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกในอนาคต”
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่เพียงแต่นำมาซึ่งความแห้งแล้งและน้ำท่วม แต่ยังปลุกให้ศัตรูเงียบอย่างเชื้อราตื่นขึ้นมาคุกคามมนุษยชาติด้วย เวลานี้เราจึงต้องเตรียมพร้อมและหาทางป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป
อ้างอิง
https://edition.cnn.com/2025/05/24/climate/deadly-fungi-aspergillus-spread
https://www.newsweek.com/deadly-fungus-spreads-through-europe-temperatures-rise-2068599
บทความอื่น ที่น่าสนใจ